ซอกซอนตะลอนไป (3 มกราคม 2564)
แม้แต่เทพเจ้าฮินดู ก็หนีกรรมไม่พ้น(ตอน3)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ก่อนที่จะสิ้นชีพจากธนูของพระราม พาลีได้พูดกับพระรามหลายเรื่อง
พาลี ถามว่า “สุครีพ ได้ทำให้ภรรยาของข้าเป็นหม้าย และ ขโมยอาณาจักรของข้าไป นี่เป็นอาชญากรรม หรือความผิด หรือไม่”

(พาลี ถูกศรของพระราม มีสุครีพยืนอยู่ข้างๆ – ภาพจากวิกิพีเดีย)
พระราม ตอบว่า “ต่อน้องชายของท่าน ท่านจะต้องปฎิบัติกับเขาเช่นลูกชายของท่าน แม้ว่าเขาจะได้กระทำความผิด ท่านต้องให้อภัยแก่เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้ให้สัญญาแก่ท่านแล้วว่า เขาจะเคารพท่านไปตลอดจนชีวิตจะหาไม่”
พาลีถามว่า “แม้ว่า ข้าจะได้กระทำผิด ก่ออาชญากรรมต่อน้องของข้า แต่ท่านมีสิทธิ์อะไรที่จะมาสังหารข้า”
พระรามตอบว่า
“ข้าได้รับอนุญาตจาก กษัตริย์ ภารตะ(KING BHARATA) ให้เป็นผู้แพร่ความถูกต้องเป็นธรรมให้กว้างไกลออกไป และ ให้จัดการลงโทษต่อพวกกระทำการที่เลวร้าย”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สาเหตุส่วนหนึ่งของการตายของพาลีก็มาจากที่เขาได้สัญญาว่า หากเขาผิดสัญญาในเรื่องนางทารา ก็ขอให้เขาตายด้วยคมธนูของพระวิษณุ
และ พระราม ก็คือ อวตารที่ 7 ของพระวิษณุ ที่เกิดอยู่ในยุค เทรต้า(TRETA YUGA) ซึ่งถือเป็นยุคที่ 2 ต่อจาก สัตยา ยุค (SATYA YUGA) ตามตำนานความเชื่อของศาสนาฮินดู ที่แบ่งยุคของโลกออกเป็น 4 ยุคใหญ่ๆด้วยกัน คือ สัตยา ยุค , เทรตา ยุค , วาพารา ยุค (DVAPARA YUGA) และ กลี ยุค (KALI YUGA)
หลังจากพาลีตายไป เรื่องราวของรามเกียรติ์ ก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งพระราม และ พวกสามารถตามไปเอาตัวนางสีดากลับคืนจากทศกัณฐ์ได้ ซึ่งผมจะไม่พูดถึงในบทความนี้
กาลเวลาผ่านไป จากยุคเทรค้า ก็มาถึงยุคที่ 3 คือ ยุควาพารา
ณ.เมืองมธุรา(MATHURA) มีเด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในราชวงศ์ ยาดาวา(YADAVA DYNASTY)

(เมืองมธุรา ในรัฐอุตตรา ประเทศ)
เด็กชายคนนี้มีลักษณะผิวพรรณที่โดดเด่น คือ มีสีดำ หรือ น้ำเงินแก่ ซึ่งต่อมาเด็กชายคนนี้ ถูกเรียกชื่อว่า กฤษณะ(KRISHNA) ซึ่งเป็นคำในภาษาสันสกฤต แปลว่า ดำ หรือ สีน้ำเงินเข้ม หรือ สีมืดๆ และยังมีความหมายว่า ผู้มีเสน่ห์อย่างมาก
นอกจากนี้ ในภาษาโหราศาสตร์ฮินดู ยังเรียกช่วงเวลาตั้งแต่ แรม 1 ค่ำเรื่อยไปจนถึงแรม 15 ค่ำประมาณร่วม 15 วันว่า กฤษณะปักษ์ ที่มีความหมายว่า (ช่วงเวลา)ที่กำลังจะมืด

(พระกฤษณะ ตอนเด็ก – ภาพจากวิกิพีเดีย)
ชีวิตตอนเด็กของพระกฤษณะ ค่อนข้างจะทุกข์เวทนามาก เพราะถือกำเนิดในคุก ต้องระหกระเหินจากบ้านเกิด ไปเป็นเด็กเลี้ยงวัว ภาพของพระกฤษณะ จึงมักจะปรากฎคู่กับวัว หรือ ลูกวัว เสมอ
เนื่องจากพระกฤษณะ เป็นเด็กสนุกสนาน ซุกซน ขี้เล่น ชอบล้อเล่นแกล้งเพื่อน จึงมีชื่อเรียกว่า มัคหาน ชอร์(MAKHAN CHOR) ที่แปลว่า โจรขโมยเนย

(ด้วยความซน รักสนุก และ ชอบเล่นแผลงๆ จึงทำให้พระกฤษณะ ได้รับฉายาว่า โจรขโมยเนย – ภาพจากวิกิพีเดีย)
(ผมจะเล่าเรื่องของพระกฤษณะในรายละเอียด ในโอกาสหน้าครับ)
นอกจากนี้ พระกฤษณะยังได้รับฉายาว่า ผู้ขโมยหัวใจของผู้คน เพราะความเป็นคนน่ารัก ใส่ใจต่อคนอื่นๆ ทำให้ภาพที่ปรากฎของพระกฤษณะ มักจะห้อมล้อมไปด้วยผู้หญิง

(ความเป็นที่รักของคนอื่น และ ความมีเสน่ห์ ทำให้พระกฤษณะ มักจะถูกล้อมรอยด้วยสาวๆ – ภาพจากวิกิพีเดีย)
ลักษณะประจำของพระกฤษณะ ก็คือ มักจะมีขลุ่ยอินเดียที่เรียกว่า บานสุรี (BANSURI) ติดตัวอยู่เสมอ และมักจะเป่าบรรเลงเพลงอยู่ริมแม่น้ำ ยมุนา ที่ไหลผ่านเมืองมธุรา

(พระกฤษณะ เป่าขลุ่ยริมแม่น้ำยมุนา)
ว่ากันว่า เพลงที่บรรเลงด้วยขลุ่ยของพระกฤษณะ ช่างมีความหวานแหวว และ ไพเราะอย่างยิ่ง ราวกับเสียงขับขานของวิหคจากสวรรค์เลยทีเดียว

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
สวัสดีครับ