วิธีเลือกบริษัททัวร์

เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ

เดือนมีนาคม-เมษายน คาบเกี่ยวมายังเดือนพฤษภาคมของทุกปีถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับตลาดการท่องเที่ยวของเมืองไทยเพราะเป็นช่วงที่นักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศหยุดเทอมกัน ผมจึงอยากเสนอวิธีการเลือกบริษัทท่องเที่ยวที่จะซื้อทัวร์ ตามเกณฑ์มาตรฐานของผมซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านพอสมควร แต่สำหรับท่านที่คิดว่าการไปเที่ยวก็เพียงเพื่อช้อปปิ้งลูกเดียวไม่สนใจจะดูอะไรทั้งสิ้นนั้น กรุณาพลิกข้ามข้อเขียนชิ้นนี้ไปได้เลยครับเพราะไม่มีประโยชน์อันใดแก่ท่านด้วยประการทั้งปวง

พึงระลึกไว้เสมอว่า ของดีแล้วถูกย่อมไม่มี

ปัจจุบันนี้ยุทธวิธีทางการตลาดของวงการท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นมีแนวทางที่จะเน้นการแข่งขันกันเฉพาะเรื่องของราคาเท่านั้นไม่ใช่คุณภาพ ดังจะเห็นได้จากโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่จะเอาตัวเลขราคามาเป็นเครื่องล่อใจลูกค้าเป็นประเด็นแรกประเภทเที่ยวยุโรปในราคาสองหมื่นเก้า-สามหมื่นเก้านั้นมักจะได้รับการต้อนรับจากนักท่องเที่ยวอย่างดียิ่ง ทั้งๆที่ตลอดทั้งโปรแกรมก็คือการนั่งเครื่องบินไปถึงยุโรป แล้วก็นั่งรถโค้ชจากประเทศนี้ไปออกประเทศนั้นเท่านั้นเอง แทบจะไม่ได้ชมอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย สาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้โปรแกรมราคาถูกเฟื่องฟูในตลาดท่องเที่ยวก็คือ ! นักท่องเที่ยวไทยไม่เคยสนใจศึกษาอ่านโปรแกรมท่องเที่ยวอย่างละเอียดว่ามีอะไรบ้างที่จัดอยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะดูตรงที่ราคาก่อนว่าราคาเท่าไหร่ยิ่งต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนใจเท่านั้น จากนั้นจึงจะดูว่ากี่ประเทศยิ่งมากประเทศเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น นักท่องเที่ยวเหล่านี้จะไม่ได้ดูว่าแต่ละวันจะต้องนั่งรถนานเท่าไหร่ ? เป็นเวลากี่ชั่วโมง ? และระหว่างทางได้เที่ยวชมอะไรบ้าง ? ส่วนใหญ่ของโปรแกรมราคาถูกจะถูกทำให้ต้นทุนต่ำลงมา  โดยที่ผู้ซื้อไม่มีโอกาสรับรู้ได้ด้วยการดึงโปรแกรมนำชมออกไปจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ของโปรแกรมเหล่านี้จะเพียงแค่จอดรถหน้าสถานที่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ พระราชวังหรือปราสาทอธิบายเล็กๆ น้อยๆ บนรถโค้ชจากนั้นให้เวลาอีก 10 นาทีสำหรับการถ่ายภาพแล้วจึงเดินทางต่อจะไม่มีการนำเข้าชมและอธิบาย อย่างละเอียดในสถานที่นั้น ๆ

 

มีนักท่องเที่ยวหลายคนเคยคุยกับผมว่าต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตูเองเมื่อไปเที่ยวกับโปรแกรมทัวร์แบบนี้ เพราะหัวหน้าทัวร์บอกว่าบัตรผ่านประตูไม่รวมอยู่ในราคาทัวร์รวมเบ็ดเสร็จจนจบโปรแกรมก็เป็นเงินหลายพันบาทอยู่ ซ้ำที่ซื้อบัตรเข้าดูเองนั้นไม่มีมัคคุเทศก์เจ้าของท้องถิ่นคอยบรรยายชม ดังนั้นนอกจากจะเสียเงินเป็นพันๆ บาทแล้วยังต้องเดินดูเองหลงไปหลงมาที่อยากจะดูจริงๆ ก็ไม่ได้ดูเพราะไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนซ้ำรายละเอียดในสถานที่นั้นก็แทบจะไม่ได้สรุปแล้วที่ว่าซื้อทัวร์มาราคาถูกก็เลยไม่ถูกอย่างที่คิดจะแพงกว่าด้วยซ้ำแถมยังไม่ได้ความรู้และคำอธิบายคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปเสียอีก

การค้าขายทุกชนิดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีต้นทุนโปรแกรมทัวร์ก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้ต้นทุนลดลง เพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่ถูกว่าคนอื่นในท้องตลาด สิ่งที่จะทำก็เพียงแต่ดึงค่าบัตรผ่านประตูออกให้หมดทั้งโปรแกรมแค่นี้ก็ประหยัดเงินได้เป็นพันๆ แล้ว  จากนั้นก็ตัดค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่จะบรรยายชมออกเสีย รายการนี้เป็นเงินมากกว่าค่าบัตรเสียอีกจากนั้นก็พาคุณนั่งรถทั้งวันข้ามจากประเทศนี้ไปประเทศนั้น หัวหน้าทัวร์ก็ไม่ต้องทำอะไรมากไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้วยซ้ำ หรือบางทีก็พูดเพ้อเจ้อโดยไม่มีหลักฐานเพียงแต่สามารถสร้างความมันในอารมณ์ให้แก่ลูกทัวร์ได้เท่านั้นแค่นี้ก็ทำให้ราคาทัวร์ถูกลงได้เยอะแล้วหรือหากจะให้ถูกกว่านี้ลงไปอีกก็ใช้วิธีลดเกรดของโรงแรมลงเสียหน่อย จาก 5 ดาว 4 ดาวก็กลายมาเป็น 3 ดาว 2 ดาวลงเสีย ค่าอาหารก็ตัดลงให้ถูกอีกหน่อยหนึ่ง มื้อหนึ่งตัดลงนิดหนึ่ง ตลอดทั้งโปรแกรมก็ตัดลงได้โข เห็นมั้ยครับว่าไม่มีของอะไรที่ถูกด้วยดีด้วย

 

คราวต่อไปก่อนจะซื้อทัวร์ถามให้ละเอียดนะครับว่านั่งรถวันละกี่ชั่วโมง? พักโรงแรมอย่างไร? นำชมอะไรบ้าง? รวมค่าบัตรผ่านประตูกี่รายการ? ไม่รวมกี่รายการ? มีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นร่วมบรรยายด้วยหรือเปล่า? หัวหน้าทัวร์มีความรู้มากน้อยแค่ไหน? ทางที่ดีควรจะเลือกทัวร์ที่เน้นทำทัวร์แบบ “ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม” เป็นดีที่สุดคุณก็จะได้ทัวร์ที่พาคุณไป “ชม” จริงๆ ไม่ใช่พาไปนั่งรถเล่น แล้วแวะ “ฉี่” ที่โน้นทีที่นี่ทีแล้วก็กลับบ้าน

เลือกบริษัททัวร์ก็ เท่ากับท่านเลือกเพื่อนร่วมทางในทัวร์ไปในขณะเดียวกัน

บริษัทท่องเที่ยวแต่ละบริษัทก็มีบุคลิกเฉพาะตัวของตัวเอง  ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของผู้บริหารของบริษัทนั้น ๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บางบริษัทจึงเน้นที่ทัวร์ไหว้เจ้าเป็นหลัก บางบริษัทเน้นที่ทัวร์ช้อปปิ้งฮ่องกง –สิงคโปร์เป็นหลัก บางบริษัทเน้นการทำทัวร์เยี่ยมญาติในประเทศจีนเป็นหลัก  และบางบริษัทเน้นการทำทัวร์ยุโรปแบบนั่งรถข้ามประเทศหลาย ๆ ประเทศในราคาที่ (คุณคิดว่า) ถูก การที่บริษัทใดเน้นทัวร์เส้นทางไหนเป็นหลัก ก็หมายความว่า ลูกค้าหลักของบริษัทนั้นๆ ชอบเดินทางบนเส้นทางที่ บริษัททัวร์นั้น ๆ จัดขาย

อย่างเช่น บริษัท ก เด่นในเรื่องทัวร์เยี่ยมญาติในประเทศจีน นั่นก็หมายความว่าลูกค้าหลักของบริษัท ก ส่วนใหญ่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป มีพื้นเพเป็นคนจีนที่อพยพมาจากประเทศจีน หรือเป็นลูกหลานของผู้ที่อพยพมาจากประเทศจีน และมีความผูกพันอย่างมากกับญาติทางประเทศจีน ต้องพูดภาษาจีนได้ และส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า  นักธุรกิจเชื้อสายจีน

หรือย่างเช่นบริษัท ข เด่นในเรื่องทัวร์ไหว้เจ้าวันเดียว 8 วัด ลูกค้าของบริษัทนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิงสูงอายุหน่อย  อาจจะมีลูกชายหรือลูกสาวติดตามมาด้วยบ้าง เป็นคนเชื่อถือในเรื่องโชคลางการกราบไหว้เจ้า  กว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจีน

หรืออย่างบริษัท ค เด่นในเรื่องทัวร์ช้อปปิ้งฮ่องกง-สิงคโปร์ ลูกค้าของบริษัท ค ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ มีเงินมาก แต่ระดับการศึกษาอาจไม่สูงและส่วนใหญ่มักจะมีกิจการของตนเอง  ทำให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางได้หลายๆ วัน เพราะต้องเฝ้าร้านขายของ หรือ พนักงานบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานเก็บเงินได้บ้าง

หรืออย่างบริษัท ง เด่นในเรื่องทัวร์ยุโรปราคา(ที่คุณคิดว่า)ถูก ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาวที่เริ่มหัดเที่ยวเป็นครั้งแรกครั้งที่สอง เป็นพนักงานบริษัททั่ว ๆ ไปที่ต้องการจะสร้างภาพพจน์ของตนเองในที่ทำงานของตนเองว่า ตนเองเคยผ่านยุโรปมาแล้ว อาจจะรวมถึงการโอ้อวดสิ่งของเครื่องใช้ด้วยว่าซื้อมาจากปารีส ลอนดอนนะ แน่นอนว่าลูกทัวร์ในโปรแกรมเหล่านี้จะเน้นการช้อปปิ้งเป็นหลักอีกเช่นกัน ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยกระดับฐานะทางการเงินจากทัวร์ฮ่องกง-สิงคโปร์ขึ้นมาสักนิดหนึ่งแต่ทุกคนต้องช้อปอย่างระเบิดเถิดเทิง เวลานัดหมายไม่ต้องพูดถึง  ยิ่งโปรแกรมที่เที่ยวชมแล้วลืมไปได้เลย

หรืออย่างบริษัท จ ซึ่งเด่นในเรื่องทัวร์ของลูกค้าประเภทไฮโซไซตี้  ทัวร์แบบนี้ก็เน้นที่การโชว์เฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับบนร่างกายของลูกทัวร์เป็นหลักว่า  ชั้นใส่แหวนเพชร 15 กะรัตนะ สามีซื้อให้ แล้วเธอล่ะใส่อะไร แล้วสามีของชั้นไม่ใช่กระจอกนะ หนังสือพิมพ์เรียก “บิ๊ก” เชียวนะ เข้าออกสนามบินทีมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรมารับด้วยล่ะ ซื้อของเข้ามาเท่าไหร่ไม่ต้องตรวจ ดังนั้นการเลือกซื้อทัวร์กับบริษัททัวร์หนึ่งๆ จึงเท่ากับคุณเลือกเพื่อนร่วมทางไปด้วยในตัว

 

หากคุณเลือกทัวร์ ก และ ข คุณก็จะได้เดินทางไปกับพ่อค้า หรือแม่ หรือภรรยาของพ่อค้าเชื้อสายจีนเป็นหลัก หากคุณไปกับบริษัท ค คุณจะได้ร่วมทางไปกับนักช้อปปิ้งเศรษฐีใหม่หรือพนักงานใหม่ที่เริ่มทำงานเก็บเงิน ดังนั้นคุณต้องทำใจในเรื่องของเวลานัดหมายด้วย  เพราะส่วนใหญ่นักช้อปปิ้งจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลานัดหมายอยู่แล้วยิ่งหากคุณเลือก บริษัท ง คุณต้องทำใจเป็น 2 เท่าจากทัวร์ ค เพราะข้าวของในยุโรปมันล่อใจยิ่งกว่าฮ่องกง-สิงคโปร์หลายเท่านัก การผิดนัดครึ่งชั่วโมงถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าคุณจะไปกับทัวร์ จ ละก้อ ขอให้แน่ใจว่ามีเครื่องเพชรเครื่องทองมากพอที่จะโอ้อวดได้ในหมู่สมาชิกนักท่องเที่ยว และอาจจะต้องทำใจเรื่องโปรแกรมล่าช้า  หากไฮโซคนใดเกิดทำแหวนเพชรหรือตุ้มหูเพชรหายระหว่างทาง คุณอาจจะต้องช่วยเธอคลานลงกับพื้นหาเพชรเม็ดนั้นด้วยก็ได้ ทางที่ดี เลือกเดินทางกับบริษัทท่องเที่ยวที่โฆษณาเน้นทัวร์ “ศิลปวัฒนธรรม” เป็นหลักจะดีที่สุด เพราะการโฆษณาแบบนี้เท่ากับเป็นการกลั่นกรองลูกค้าไปในตัว  ประเภทไม่สนใจชม  แต่จะช้อปปิ้งลูกเดียวก็จะไม่ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์นี้  ไฮโซก็ไม่ค่อยสนใจการเดินชมโบราณสถานหรือโบราณวัตถุอยู่แล้ว เพราะคุณเธออยากจะเดินชมตามตู้เพชรตู้ทองที่ปารีสหรือสวิสมากกว่า ดังนั้น สมาชิกผู้เดินทางกับทัวร์ “ศิลปวัฒนธรรม” จึงมักจะเป็นคนที่เที่ยวเป็น  สนใจชมทุกอย่างที่น่าชม และถือการช้อปปิ้ง(ซึ่งทัวร์เหล่านี้ก็มักจะมีเวลาให้ช้อปอยู่แล้ว)เป็นเรื่องรองและไม่ฟุ้งเฟ้อเรื่องการแต่งตัว

 

ข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์ในการเลือกบริษัททัวร์ในฤดูกาลนี้นะครับ  อย่าลืมว่าหากเลือกทัวร์ผิด  เวลาท่องเที่ยว 8 วัน 10 วัน ของท่านแทนที่จะเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนจะกลายเป็นเวลาแห่งความทรมานไปในที่สุด คราวต่อไปเลือกหาทัวร์ “ศิลปวัฒนธรรม” ซิครับ

 

บทความโดย : เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

Posted in สัพเพเหระ.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *