โอกินาวา – เทศกาลชักกะเย่อเชือกยักษ์

ซอกซอนตะลอนไป    (18 ตุลาคม 2556)

โอกินาวา – เทศกาลชักกะเย่อเชือกยักษ์  

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               ผมเพิ่งไปเกาะโอกินาวา(OKINAWA) มาเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา  เพื่อไปชมเทศกาลชักกะเย่อเชือกยักษ์ ซึ่งเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของเกาะโอกินาวา  และ  ของเมืองนาฮา (NAHA) เมืองหลวงของโอกินาวา

               ท่านผู้อ่านอาจจะนึกภาพของโอกินาวาไม่ค่อยออกว่าอยู่ตรงไหน   เรื่องนี้ผมจะนำมาเล่าต่อในตอนหน้าครับ   แต่ในตอนนี้  ขอเล่าเรื่องเทศกาลชักกะเย่อเชือกยักษ์ก่อน


(ผู้คนจำนวนกว่า 27,000 คนที่มาร่วมงาน)

               คนญี่ปุ่นเรียกเทศกาลนี้ว่า  ฮานา ซึนาฮิกิ (HANA TSUNAHIKI)   จะจัดกันในวันอาทิตย์ก่อนวันจันทร์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปี (ฟังแล้วงงมั้ยครับ)  ตกราวๆวันที่ 10 เศษๆโดยประมาณ  ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม  และเป็นครั้งที่ 43

               เป็นงานเทศกาลที่มีคนมาร่วมงานกว่าสองหมื่นคนทุกปี  ในปีนี้  กรรมการจัดงานแถลงตอนจบงานว่า  มีคนมาร่วมงานกว่า 27,000 คน


(ไม้สลักขนาดใหญ่ที่ใช้ยึดเชือกทั้งสองเส้น)

               ว่ากันว่า  เทศกาลดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. 2255 หรือ ประมาณ  300 ปีที่แล้ว  ในยุคสมัยของอาณาจักรริวกิว  ในสมัยนั้นมีสี่เมืองเล็กมาร่วมกันจัดงานนี้ที่เมืองนาฮา

               เทศกาลนี้จัดทำขึ้นตามความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า เป็นการบูชาเทพเจ้า  และจะนำความเจริญรุ่งเรือง และ สุขภาพที่ดีมาสู่ชาวเมือง  


(กษัตริย์ตะวันตกเผชิญหน้ากับ กษัตริย์ตะวันออก)

               แต่เดิมจะจัดกันเฉพาะในปีที่มีเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น  แต่ต่อมา  ในปีพ.ศ. 2514 ได้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อจัดกันเป็นประจำทุกปี 

               เทศกาลชักกะเย่อ จะจัดขึ้นบนถนนไฮเวย์ 58 ที่ตัดผ่านใจกลางเมือง  โดยงานจะเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น.  เรื่อยไปจนถึง 17.00 น.


(กษัตริย์ตะวันออก กำลังท้าทายกษัตริย์ตะวันตก)

               เชือกยักษ์ที่จะใช้ในการชักกะเย่อมี 2 เส้นด้วยกัน  ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เมตร ด้านหนึ่งจะเป็นของฝั่งตะวันตก  อีกด้านหนึ่งจะเป็นของฝั่งตะวันออก

               เมื่อได้เวลา  เขาก็จะเอาเชือกทั้งสองเส้นที่มีห่วงตรงปลายทั้งสองข้างมาคล้องกัน  แล้วใช้สลักท่อนซุงขนาดใหญ่มีน้ำหนัก 365 กิโลกรัมสอดเข้าไปเพื่อยึดเชือกทั้งสองเส้นเข้าด้วยกัน

               จุดที่เชือกทั้งสองเส้นถูกยึดเข้าด้วยกันนี้  จะเป็นจุดที่วัดว่า  ใครจะเป็นฝ่ายมีชัยในการชักกะเย่อด้วย


(เชียร์ลีดเดอร์ให้สัญญาณให้ดึงเชือกพร้อมๆกัน)

               เชือกขนาดใหญ่ที่มีสองเส้นนี้   มีความยาวเส้นละ 100 เมตร สองข้างรวมกันก็จะเป็นความยาว 200 เมตร  มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 43 ตัน หรือ 4 หมื่น 3 พันกิโลกรัม   ทำด้วยฝางข้าวที่เป็นของเหลือจากการผลิตข้าวของชาวนา   

               แต่ละข้าง   จะมีเชือกขนาดเล็กแตกออกเป็นสาขาเพื่อให้คนจับดึงชักกะเย่ออีกข้างละ 140 เส้น

               เมื่อใส่สลักยึดเชือกทั้งสองเส้นเรียบร้อยแล้ว   ก็จะมีคนแบกแท่นของกษัตริย์แห่งตะวันออก และ  กษัตริย์แห่งตะวันตก เข้ามาเผชิญหน้ากันใกล้จุดกึ่งกลางของเชือกทั้งสองเส้น   แล้วกษัตริย์ของทั้งสองฝ่ายก็แสดงท่าทีข่มขู่กัน  จากนั้นก็ถอยออกไป

               ลูกบอลที่ถูกแขวนอยู่เหนือเชือกยักษ์จะถูกเปิดออก  ปล่อยให้ลูกโป่งและกระดาษสีจำนวนมากร่วงกระจายลงมา   ปะทัดถูกจุดขึ้นหลายชุด   เป็นการประกาศว่า   การชักกะเย่อจะเริ่มขึ้นแล้ว


(ความปลอดภัยสำคัญสุด  จุดปะทัดก็ต้องอยู่กล่อง)

               บนเชือกยักษ์ของทั้งสองฝั่งจะมีเชียร์ลีดเดอร์  คอยให้สัญญาณให้คนที่มาร่วมงานข้างล่างออกแรงดึงเชือกพร้อมๆกัน  เพื่อขยับเชือกยักษ์น้ำหนัก 43 ตันให้ไปข้างตัวเองให้มากที่สุด

               ฝ่ายใดสามารถดึงเอาสลักไม้ขนาดใหญ่ให้เคลื่อนไปฝั่งตนเองจนถึงหอกหรือดาบที่เป็นสัญลักษณ์ได้ก่อน   จะเป็นฝ่ายชนะ

               ไฮ ยา (HAI YA)  


(ผู้คนช่วยกันชักกะเย่อกันอย่างสนุกสนาน)

เสียงตะโกนของเชียร์ลีดเดอร์จะดังเป็นจังหวะ   เพื่อให้ฝ่ายของตนเองออกแรงดึงเชือกพร้อมๆกัน  ทั้งร้อน  ทั้งเหนื่อย  แต่ดูเหมือนทุกคนจะมีความสุข

ในที่สุด  ปีนี้ฝ่ายตะวันออกเป็นผู้ชนะ     แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจกับผลแพ้ชนะสักเท่าไหร่   เพราะต่างก็รีบเข้าไปตัดแบ่งเชือกเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกกลับบ้าน   ด้วยความเชื่อว่า  จะเป็นมงคลแก่ตัวเอง  


(ทุกคนต่างก็ได้เชือกที่ระลึกกลับบ้านกันคนละนิดคนละหน่อย)

ที่น่าทึ่งก็คือ  หลังจากงานจบสิ้น  ผู้คนออกจากพื้นที่หมดแล้ว   ไม่มีขยะให้เห็นตามถนนเลยแม้แต่ชิ้นเดียว   และไม่มีประกาศของหาย หรือ ใครถูกล้วงกระเป๋าสักคน 

มาตรฐานการใช้ชีวิตของเขาสูงจริงๆ


(เจ้าหน้าที่อาสาสมัครแจกถุงพลาสติก และคีมคีบขยะให้ใครก็ตามที่มีจิตอาสาเก็บขยะที่เห็นใส่ถุงไปทิ้ง)

นี่ได้ข่าวว่า   หลังจากที่เปิดให้คนไทยเข้าประเทศญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า   ล่าสุดญี่ปุ่นต้องกลับมาใช้มาตรการขอวีซ่ากับคนไทยอีกครั้งในต้นปีหน้า    เพราะทนไม่ไหวที่คนไทยหนีเข้าไปอาศัยในญี่ปุ่นกว่า 2000 คนแล้ว

ช่างน่าอายจริงๆกับพฤติกรรมแย่ๆของคนไทยกลุ่มนี้

ไม่อยากว่าคนไทยกันเองเลยจริงๆ   พับผ่า

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *