รับลมหนาวบนแม่น้ำไนล์อียิปต์(ตอน 2)

ซอกซอนตะลอนไป       (28 พฤศจิกายน 2557)

รับลมหนาวบนแม่น้ำไนล์อียิปต์(ตอน 2)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               ทำไม  ชาวอียิปต์โบราณจึงต้องทำมัมมี่ 

               ความเชื่อในเรื่องความตายของชาวอียิปต์โบราณนั้น  ถ้าพิจารณาว่านี่คือความคิดของมนุษย์เมื่อกว่า 6000 ปีที่แล้ว   ก็ถือว่า  เป็นความคิดที่น่าทึ่ง และ ท้าทายอย่างยิ่ง    พอๆกับแนวคิดของคนในยุคปัจจุบันที่ยังสงสัยว่า   คนอียิปต์โบราณสร้างพีระมิดอย่างไร  

               ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า  ชีวิตไม่ได้จบลงเมื่อถึงคนผู้นั้นถึงแก่ความตาย   แต่ยังมีโลกอีกโลกหนึ่งรอเราอยู่   ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดบางส่วนของพุทธศาสนา   เพียงแต่แตกต่างกันในส่วนรายละเอียด 


(เทพโอไซริส หรือ เทพเจ้าของโลกคนตาย)

               นอกจากนี้  ชาวอียิปต์โบราณยังเชื่อว่า   เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว   พระองค์จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า RESURRECTION

               การฟื้นคืนชีพของฟาโรห์  จะเป็นการฟื้นคืนชีพในสังขารร่างเดิม   ดังนั้น  จึงจำเป็นที่จะต้องรักษาสังขารร่างกายของฟาโรห์เอาในสภาพที่ดีสุด  เพื่อรอการกลับมาของวิญญาณ 

               วิธีการรักษาร่างกายเอาไว้ก็คือ  การทำมัมมี่ (MUMMIFICATION)   (ผมจะยังไม่เล่ารายละเอียดวิธีการทำมัมมี่ในตอนนี้  แต่จะเก็บเอาไว้เล่าในตอนต่อไปครับ)


(บา  ที่แสดงอยู่ในรูปภาพของนกที่มีศรีษะเป็นใบหน้าของผู้ตาย)

               ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า   วิญญาณ  หรือ จิต ในร่างกายของมนุษย์มีอยู่ 2 รูปแบบ  แบบแรกเรียกว่า  คา (KA)  แบบที่สองเรียกว่า บา (BA)  

               คา จะเป็นวิญญาณที่สิงสถิตอยู่กับตัวมัมมี่  หรือ  รูปเหมือนของผู้ตาย   ในขณะที่ บา จะเป็นวิญญาณที่สามารถบินไปในที่ต่างๆได้ เหมือนนก และมีหน้าตาเหมือนกับผู้ตาย 

ว่ากันว่า  บา จะบินไปในที่ต่างๆเพื่อเสาะแสวงหาอาหารการกิน เพื่อใช้ในการประทังให้มัมมี่คงอยู่ต่อไป  


(สัญลักษณ์ของ  คา)

               ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า  คา จะเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ผู้นั้นตั้งแต่แรกเกิด   โดยที่เทพ เฮคเคท(HEKET) หรือ เมสเคเนต(MESKHENET)  จะเป็นผู้มอบให้แก่ร่างกายของมนุษย์ โดยผ่านทางลมหายใจของเทพ เฮคเคท

               เป็นลมหายใจที่เสมือนเป็นการมอบพลังงานให้แก่ทารกแรกเกิดด้วย  

               ทุกๆเช้า  บา จะบินออกจากร่างของมัมมี่ในหลุมฝังศพเพื่อไปสู่โลกภายนอก   ในขณะที่ คา จะอยู่กับร่างของมัมมี่ตลอดเวลา   ในทุกเย็นเมื่ออาทิตย์ตกดินไปแล้ว   บา จะกลับมาเข้าร่างของมัมมี่อีกครั้งเพื่อรวมตัวกับ คา


(ร่างของมัมมี่ หลังจากที่ถอดเอาผ้าลินินที่พันไว้รอบร่างกายออกแล้ว)

               เมื่ออาทิตย์ลาลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก  และ หายไปจากโลกนั้น   ชาวอียิปต์โบราณจินตนาการไปว่า  พระอาทิตย์จะโคจรลงไปสู่โลกใต้พิภพ  และจะไปพบกับ เทพโอไซริส(OSIRIS) ผู้เป็นเทพเจ้าของคนตาย  

               เมื่อพระอาทิตย์ มาพบกับเทพ โอไซริส  ทั้งคู่จะแลกเปลี่ยนพลังงานซึ่งกันและกัน  ทำให้มีพลังงานเพิ่มขึ้น  เพื่อให้พระอาทิตย์มีความกำลังที่จะโผล่ขึ้นมาสู่โลกอีกครั้งในวันใหม่ 


(มัมมี่ จะถูกใส่ไว้ในโลงศพเพื่อป้องกันการถูกทำลาย  ความวิจิตรพิสดารของโลงศพก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญของบุคคลคนนั้น)

               ก่อนอื่นต้องทราบว่า   เทพโอไซริส ในจินตนาการของชาวอียิปต์โบราณ จะอยู่ในรูปทรงของมัมมี่  กล่าวคือ  จะยืนตัวตรงเหยียดยาว  มือทั้งสองประสานกันอยู่ที่หน้าอก  ร่างกายจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าลินินตั้งแต่หัวจรดเท้า 

               นี่คือเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ต้องทำมัมมีให้แก่ผู้ตาย   เพราะจะได้มีรูปลักษณ์เหมือนกับเทพ โอไซริส  เทพเจ้าแห่งคนตาย  

               นอกจากจะต้องเอาศพของผู้ตายมาทำมัมมี่แล้ว   ยังจะต้องรักษามัมมี่ที่ว่านี้เอาไว้ให้ดี  จะต้องไม่ให้ใครทำลายทิ้งได้   หาไม่แล้ว  วิญญาณ หรือ บา  จะไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ 


(รูปสลักที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้แทนมัมมี่ ในกรณีที่มัมมี่ถูกทำลายไป)

               ต่อมาภายหลัง   เมื่อประสบปัญหาคุกคามจากพวกโจรปล้นสมบัติ  และศัตรูของฟาโรห์ ที่บุกเข้าไปในสุสานของฟาโรห์บ่อยครั้งเข้า   และยังทำลายมัมมี่ของฟาโรห์เพื่อไม่ให้ฟาโรห์ได้กลับฟื้นคืนชีพ หรือ มีชีวิตหลังความตายได้    พระผู้ทำพิธีของอียิปต์โบราณก็จึงกำหนดแนวคิดเพิ่มเติม เพื่อต่อสู้กับการคุกคามของพวกโจรที่ว่านี้

               กล่าวคือ   ด้วยเกรงว่า มัมมี่ของผู้ตายจะถูกทำลาย  ก็ให้สร้างรูปสลักของผู้ตายขึ้นมาอีกอันหนึ่ง   แล้วสลักชื่อระบุเอาไว้ว่า  รูปสลักนั้นเป็นของใคร 

               เพื่อว่า  หากมัมมี่ถูกทำลาย  และวิญญาณไม่มีที่สิงสถิตได้   ก็ให้เข้ามาสิงสถิตที่รูปสลักดังกล่าวแทน   นักท่องเที่ยวจึงได้เห็นรูปสลักของฟาโรห์องค์ต่างๆมากมายทั่วไปทั้งอียิปต์ 

               แต่ไม่นานนัก  บรรดาศัตรูของฟาโรห์ก็จับทางได้   และตามไปทำลายรูปสลักที่ว่านี้อีก   พระของอียิปต์โบราณจึงต้องคิดวิธีแก้เกมส์นี้


(พระนามของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 12 ที่เขียนเอาไว้ในวงรีที่เรียกว่า คาทูช )

               วิธีแก้เกมส์ก็คือ   หากรูปสลักถูกทำลายจนวิญญาณ หรือ บา  ไม่อาจหาสถานที่สิงสถิตได้   ก็เอาเพียงแค่สลักพระนามของฟาโรห์องค์นั้นบนกำแพง หรือ เสาหิน   เพื่อให้เป็นที่สิงสถิตของวิญญาณต่อไป

               แต่ก็ไม่วายที่จะมีคนตามล้างตามเช็ดฟาโรห์อีกนั่นแหละ

               เมื่อทำลายมัมมี่ไม่ได้ผล    ก็ตามไปทำลายรูปสลัก  เมื่อมีการสลักพระนามของฟาโรห์เพื่อแก้เกมส์  ก็ตามไปทำลายพระนามของฟาโรห์อีก 

               เกิดเป็นฟาโรห์นี่ไม่สนุกเอาเลยจริงๆ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *