โอตารุ เมื่อตำรวจเสียสละ สุจริต บ้านเมืองก็ปลอดภัย

ซอกซอนตะลอนไป                           (29 กรกฎาคม 2559 )

โอตารุ เมื่อตำรวจเสียสละ สุจริต บ้านเมืองก็ปลอดภัย

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               ผมเพิ่งกลับจากการเดินทางท่องเที่ยวจากฮ๊อกไกโด ลงมาทางใต้ด้วยระบบรถไฟของ JR  จนมาถึงโตเกียว  ผ่านหลายเมือง  เช่น โอตารุ  ฮาโกดาเตะ  อาโอโมริ  เซนได  มัตสึชิมะ  และ คามากุระ

               เมืองแรกที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังก็คือ  โอตารุ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเล  ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของรัสเซีย และ สหรัฐอเมริกามาเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว  ผ่านการค้าขายติดต่อกับทางทะเล  


(เมืองโอตารุ อยู่ริมทะเล  ห่างจากซัปโปโร เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงโดยรถไฟ) 

               สำหรับท่านที่สนใจจะร่วมเดินทางไปชม ฤดูใบไม้ร่วงที่ซัปโปโร ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายนกับผม  ซึ่งจะนำชมเมืองซัปโปโร โอตารุ  ทะเลสาบโทยา   ฮาโกดาเต  และจะนำชิมสุดยอดอาหารทะเลหลายรูปแบบ    เชิญสำรองที่นั่งได้ที่ 02 6516 900  มีจำนวนจำกัด

               โอตารุ มีลักษณะคล้ายกับเมืองการค้าชายทะเลของหลายประเทศ  เช่น  นอร์เวย์  , เบลเยี่ยม และ เนเธอร์แลนด์   เพราะมีการตัดคลองจากชายทะเลเชื่อมเข้ามาในแผ่นดิน เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าจากเรือสินค้าเข้ามาสู่โกดังเก็บของในเมือง 

               จึงทำให้สองฝั่งคลองในเมืองโอตารุ  จะเรียงรายไปด้วยโกดังเก็บของ  ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นโกดังเก็บของแล้ว  หากแต่เปลี่ยนแปลงไปเป็นร้านอาหาร หรือ ร้านขายของที่ระลึก   


(ทิวทัศน์ของคลองในเมืองโอตารุ)

               ทำให้ทิวทัศน์ของเมืองโอตารุ มีความแปลกตา  และสวยงาม  กลายเป็นจุดชมวิว และ จุดถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงของเมือง   ใครมาเที่ยวก็จะต้องมาถ่ายรูปกันที่นี่   


(อีกมุมหนึ่งของคลองโอตารุ)

               แต่ที่อยากจะเล่าให้ฟัง  ไม่ใช่เรื่องประวัติศาสตร์ของโอตารุ  แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจของโอตารุ ที่เห็นการทำงานของเขาแล้ว  รู้สึกสะท้อนใจมาก เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตำรวจไทย  

               วันนั้น  หลังจากเดินชมคลองโอตารุเรียบร้อยแล้ว  ผมก็เตรียมข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง เพื่อเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ   ขณะที่กำลังรอสัญญาณไฟเขียว  ผมหันกลับไปถ่ายรูปคลองอีกครั้ง  ก็ได้ยินเสียงหวอของรถตำรวจดังขึ้น  มองเห็นรถตำรวจวิ่งผ่านคนที่กำลังจะข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว 

               ช่วงนั้นเป็นไฟเขียวให้คนข้ามถนนแล้ว  และคนก็เริ่มเดินกันแล้ว 

               ไม่บ่อยนัก  ที่จะได้เห็นรถตำรวจวิ่งเปิดหวอไปตามถนนอย่างรวดเร็ว   เพราะไม่ค่อยมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในญี่ปุ่นนัก

               คงต้องมีเหตุอะไรสักอย่าง

               เมื่อข้ามถนนมาเรียบร้อย  จึงได้รู้เหตุผลว่า  ทำไมตำรวจจึงต้องวิ่งรถอย่างรวดเร็วผ่านหน้าคนข้ามถนนขณะที่ไฟเขียวให้คนเดินข้ามแล้ว 


(ตำรวจญี่ปุ่น ที่เป็นเด็กหนุ่ม  อายุไม่มากนัก  ไม่น่าเกรงขาม  หรือ วางกล้ามแบบตำรวจไทย)

               ภาพที่เห็นก็คือ  ตำรวจคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับคนญี่ปุ่นสามคนพ่อแม่ลูก  ท่าทางอ่อนน้อม  โค้งเคารพต่อทั้งสามครั้งแล้วครั้งเล่า  

               ตำรวจคนนี้  เพิ่งกระโดดลงจากรถตำรวจที่เปิดหวอวิ่งผ่านไป  แล้วเขาก็รีบเข้ามาหาสามคนพ่อแม่ลูก  ที่เพิ่งถูกรถยนต์สปอร์ตราคาแพงคันหนึ่งขับฝ่าไฟแดงตัดหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว  

               บนรถตำรวจจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่ 2 คน  คนหนึ่งรีบกระโดดลงจากรถมาหาสามคนพ่อแม่ลูก  แล้วปล่อยให้ตำรวจอีกคนขับรถไล่ตามรถสปอร์ตที่ขับรถฝ่าไฟแดงไป 


(เจ้าหน้าที่ตำรวจ จดชื่อที่อยู่ของสามพ่อแม่ลูก  เพื่อเอาไว้ติดต่อ  ในกรณีมีอะไรเพิ่มเติม)

               เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่กับสามพ่อแม่ลูก  กล่าวขอโทษ และ โค้งคำนับขอโทษครอบครัวนี้ตลอดเวลา ทั้งๆที่ทั้งสามคนก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆจากรถสปอร์ตคันนั้น  เหมือนกับจะบอกว่า  เขาเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้รถตำรวจวิ่งตัดหน้าคนเดินข้ามถนน เพื่อติดตามรถสปอร์ตไป  พร้อมทั้งจดชื่อ ที่อยู่ของครอบครัวนี้ไว้ด้วย   

               จากรูปลักษณ์ภายนอก   ตำรวจญี่ปุ่นดูไม่น่าเกรงกลัว  หรือ ไม่น่าเกรงขามเท่ากับตำรวจไทย  แม้ตำรวจไทยคนนั้นจะมียศเพียงแค่พลตำรวจก็ตาม   

               เมื่อเปรียบเทียบตำรวจญี่ปุ่นกับตำรวจไทย  ผมนึกภาพตำรวจไทยที่อ่อนน้อมต่อประชาชนแบบที่ตำรวจญี่ปุ่นทำต่อประชาชนไม่ออกจริงๆ 

               ถามว่า   หากเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ในประเทศไทย   ตำรวจไทยจะกล้าขับรถไล่ตามรถสปอร์ตราคาแพงไป  เพื่อจัดการตามกฎหมายหรือไม่  เพราะแน่นอนว่า  คนขับรถสปอร์ตต้องเป็นคนมีสตังค์แน่นอน   

               และ ตำรวจไทยจะรีบลงมาจากรถเพื่อกล่าวคำขอโทษต่อประชาชนเดินถนน  ที่ถูกละเมิดในการใช้รถ ใช้ถนน แบบนี้หรือไม่ 

               นั่นแสดงว่า   ตำรวจญี่ปุ่นมีความเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน   ไม่ว่าคนๆนั้นจะมีรถสปอร์ตขับ  หรือ แค่คนเดินถนน 

               ความยุติธรรมแค่นี้แหละ  ที่เป็นตัวทำให้สังคมมีความสงบ  มีการละเมิดกฎหมายน้อย  เพราะทุกคนเคารพกฎหมาย 

               นึกถึงตำรวจไทยแล้วให้สะท้อนใจยิ่งนัก 

               ถึงเวลาปฎิรูปตำรวจรึยัง 

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *