โรงพยาบาลเอกชนไทย ขุมทองของเจ้าของไร้เมตตา (ตอนจบ)

ซอกซอนตะลอนไป                           (1 ตุลาคม 2560 )

โรงพยาบาลเอกชนไทย ขุมทองของเจ้าของไร้เมตตา (ตอนจบ)

โดย          เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               วิธีการหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังๆจะรีดทรัพย์จากคนไข้ก็คือ  การให้การรักษา  หรือ การให้ยา “เกินความจำเป็น” 

               เพื่อนคนหนึ่งของผม  พาหลานวัยรุ่นเข้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังด้วยอาการท้องเสีย หมอให้นอนโรงพยาบาล 3 คืน จ่ายไป 2 แสน  จนเจ้าตัวทนไม่ไหวขอเอาคนไข้ออกจากโรงพยาบาล  เพราะเจ้าตัวรู้สึกปกติ และ หายดีแล้ว  

               กระนั้น  หมอก็ยังไม่ยอม ซ้ำยังขู่คนไข้อีกว่า   หากออกไปแล้วเป็นอะไรจะไม่รับผิดชอบ

               จำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  ผมไปท้องเสียที่ประเทศออสเตรีย  ถ่ายท้องไป 2-3 ครั้งตอนเช้า  พอถึงเที่ยงก็เกิดอาการหนาวสั่น   จึงรีบเข้าโรงพยาบาลในเมืองที่พักค้างคืนเพื่อให้หมอในโรงพยาบาลตรวจอาการให้

               หมอจัดการเอ็กซ์เรย์ท้อง  แล้วบอกว่า  กระเพาะอาหารและลำไส้ปกติ  ไม่มีปัญหา  แล้วให้กลับได้

               ผมถามหมอว่า  จะให้ยาอะไรผมบ้างมั้ย   ผมบอกว่า  ไม่มี  แต่ให้กลับไปดื่มน้ำอัดลมใส่เกลือ เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่ขาดไป   พรุ่งนี้ก็กลับเป็นปกติ

               ผมคิดว่า  ในกรณีนี้  ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยละก้อ  หมอจะต้องให้น้ำเกลือทางสายยาง   ส่งเข้าไปเอ็กซ์เรย์  ซีทีสะแกน  วัดการเต้นของหัวใจ   ตรวจเลือด และ จ่ายยาอีกเพียบ 

               ปิดท้ายด้วย   บิลค่ารักษามโหฬาร

               สาเหตุที่โรงพยาบาลเอกชนหน้าเลือดเหล่านี้ ยังสามารถขูดเลือดขูดเนื้อเอาจากคนเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างเป็นกอบเป็นกำก็เพราะ  มีหมอจำนวนมากที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ  โดย “หมอ” ยอมเป็นเครื่องมือของเจ้าของโรงพยาบาล  หรือ ผู้จัดการโรงพยาบาล ตามนโยบายปล้นทรัพย์คนไข้ของผู้บริหาร 

               ทั้งๆที่  การเข้าเรียนแพทย์ในประเทศไทย  นายแพทย์แทบทุกคนไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นนับตั้งแต่เข้าเรียนแพทย์ในวันแรกจนจบการศึกษา   แม้ว่า  ค่าเล่าเรียนโรงเรียนแพทย์มีมูลค่านับล้านบาทต่อปีทีเดียว  

               เพราะค่าเล่าเรียนจำนวนมหาศาลนั้น   ประชาชนได้จ่ายให้แก่หมอไปแล้ว  ผ่านทางภาษีอากร

               หมอเพียงแต่เรียนให้เก่ง  สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้  และ  เรียนให้จบเท่านั้น   ไม่ต้องเป็นกังวลว่า   พ่อแม่จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเทอมให้   รัฐบาลเพียงแค่ผูกมัดเล็กน้อยว่า   เมื่อเรียนจบแล้ว  ขอให้ทำงานรับราชการเป็นจำนวนกี่ปี เพื่อเป็นใช้หนี้ค่าเล่าเรียน

               ซึ่งในช่วงเวลาเหล่านี้   ก็ได้รับเงินเดือน  ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนปริญญาตรีธรรมดาทั่วไป  

               แต่หากเจ้าตัวไม่ประสงค์จะรับราชการในโรงพยาบาลของรัฐ  เพราะที่บ้านมีฐานะดี ซึ่งจำนวนเกือบครึ่งของคนเรียนแพทย์ล้วนมีฐานะตั้งแต่ปานกลางขึ้นไปจนกระทั่งร่ำรวยมาก  ก็สามารถจ่ายเงินก้อนเดียวใช้หนี้ดังกล่าวได้  แล้วก็เป็นอิสระไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชนได้ทันที   

               เงินค่าชดใช้หนี้ดังกล่าวเป็นเงินจำนวนที่น้อยมาก   หากเทียบกับค่าของเงินในวันที่เรียน  และ  ค่าเสียโอกาสของคนที่ตั้งใจจะเป็นนายแพทย์ที่ดีที่จะได้เข้ามาเรียนแพทย์ด้วย   

               เงินชดใช้หนี้แค่นั้น   ลำพังทำงานในโรงพยาบาลเอกชน  นับแค่เงินเดือน  และ  ค่าเยี่ยมคนไข้ครั้งละตั้งแต่ประมาณ 1 พันบาทขึ้นไปจนเกือบสองพันบาท   ไม่กี่ปีก็ถอนทุนคืนแล้ว

               อันที่จริงๆ  คุณหมอสามารถ “อารยะขัดขืน” ไม่ยอมทำตามทุกคำสั่งของเจ้าของโรงพยาบาลที่ขัดต่อจริยธรรมได้อยู่แล้ว   เพราะศักดิ์ศรีของหมอนั้น สูงส่ง  มีเกียรติ และ ไม่ใช่แค่ลูกจ้างรับเงินเดือนเหมือนลูกจ้างทั่วๆไป

               นอกจากนี้  หากพูดกันตามแนวทางของวิชาโหราศาสตร์แล้ว   คนที่มีอาชีพนายแพทย์นั้น  รูปดวงชะตาบอกว่า  เป็นดวงของคนที่จะทำเพื่อคนอื่น  เพื่อคนป่วย  คนทุกข์ยากลำบาก และ เป็นดวงที่มีโอกาสดีที่จะสร้างบุญกุศลในชาตินี้เพื่อเป็นเสบียงบุญต่อไปในชาติหน้า 

               จึงควรที่คุณหมอน่าจะฉวยโอกาสสร้างบุญกุศลในชาตินี้นะครับ

               ก่อนจะจบ   ผมขออัญเชิญพระดำรัสของ  สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ตรัสถึงนายแพทย์ทั้งหลาย เอาไว้ณ.ที่นี้ 

               “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง  ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง  ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง  ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” 

               สวัสดีครับ  

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *