จากพิธีพืชมงคลของอียิปต์มาสู่เครื่องราชกกุธภัณฑ์

ซอกซอนตะลอนไป                           (19 พฤษภาคม 2562)

จากพิธีพืชมงคลของอียิปต์มาสู่เครื่องราชกกุธภัณฑ์

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               อียิปต์โบราณเป็นสังคมพื้นฐานแบบเกษตรกรรม และ กสิกรรม  ความเป็นอยู่ที่ดี หรือ ร้าย  ของประชาชนย่อมขึ้นอยู่กับผลผลิตทางด้านการเกษตร และ กสิกรรม ในปีนั้นๆเป็นหลัก

               ฟาโรห์ หรือ กษัตริย์ ผู้นำทั้งทางด้านการเมือง และ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของชาวอียิปต์ จึงจำต้องแสดงบทบาทของการให้กำลังใจ  และ กระตุ้นให้ประชาชนสร้างผลผลิตให้มากที่สุด

               ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจของอียิปต์ในยุคฟาโรห์ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพระราชวัง (PALACE ECONOMY)

               คือ  พระราชาจะทำการเก็บภาษีจากประชาชน เป็นผลผลิตทางด้านการเกษตร และ กสิกรรม เข้าสู่ยุ้งฉางของพระราชวัง  เมื่อถึงคราวประเทศเกิดยุคเข็ญ หรือประสบกับทุกภิขภัย  แห้งแล้งหนักหน่วง  ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล  ประชาชนอดอยากยากแค้น   ฟาโรห์ก็จะสั่งให้ข้าราชการเอาอาหารที่เก็บในยุ้งฉางมาแจกจ่าย หรือ ขายให้แก่ประชาชน

               ดังเช่นที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล ฉบับพันธะสัญญาเก่า หรือ คัมภีร์ของชาวยิว ว่า  หลังจากที่โยเซฟ ได้ทำนายฝันให้ฟาโรห์ ว่า  ที่ทรงฝันเห็น “โคซูบผอมและน่าเกลียดมากเจ็ดตัวที่ขึ้นจากแม่น้ำไนล์มากินโคที่อ้วนพีงามน่าดูเจ็ดตัว….” .นั้น   แปลความได้ว่า  

               แผ่นดินอียิปต์จะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ทั่วประเทศถึงเจ็ดปี หลังจากนั้นก็จะเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี

               โจเซฟ จึงแนะนำฟาโรห์ให้

               “จัดพนักงานไว้ทั่วแผ่นดิน  และเก็บผลหนึ่งในห้าส่วนแห่งอียิปต์ไว้ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น”  จนเมื่อเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ผ่านไป  เจ็ดปีแห่งความอดอยากก็มาถึง

               พระคัมภีร์บันทึกว่า

               “การกันดารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน  โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวชาวอียิปต์…….ยิ่งกว่านั้น   ทั่วโลกก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว  เพราะการกันดารอาหารร้ายแรงทั่วโลก”  

               นี่คือหลักการสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบพระราชวัง 


(ภาพสลักแสดงพิธีกรรมนับวัวนับควายของยุคอียิปต์โบราณ)

               ด้วยเหตุนี้  จึงมีภาพบันทึกบนผนังในสุสานถึงพิธีกรรมอย่างหนึ่งของฟาโรห์  ที่เรียกว่า  พิธีนับวัวนับควาย  โดยเจ้าหน้าที่ของฟาโรห์จะออกไปตระเวนนับวัวนับควาย  ซึ่งอาจจะรวมทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ แพะแกะด้วย  ตามบ้านเรือนของชาวบ้าน

               เพื่อเป็นข้อมูลว่า  ปีนี้มีผลผลิตของชาวบ้านเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าใด  และ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้  จะต้องนำไปเป็นพื้นฐานในการคิดคำนวณการเสียภาษีให้กับฟาโรห์ด้วย 

               นอกเหนือจากเรื่อง วัดระดับแม่น้ำไนล์ ที่ฟาโรห์ก็จะนำเอามาเป็นข้อมูลในการเก็บภาษีจากประชาชนด้วย  ซึ่งผมจะพูดถึงในตอนหลัง

               และประเพณีนับวัวนับควายนี่เอง  ที่สันนิษฐานว่า  อาจจะเป็นข้อมูลที่สร้างความผิดพลาดในการระบุชื่อฟาโรห์ที่ปกครองในช่วงเวลานั้นๆได้เหมือนกัน  ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปครับ   

               ต่อมาภายหลัง  ระบบเศรษฐกิจแบบพระราชวัง ค่อยๆเสื่อมประสิทธิภาพลง  และเลิกใช้ไปในที่สุด

               กระนั้น  พื้นฐานระบบเศรษฐกิจของอียิปต์ยุคฟาโรห์ก็ยังเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม และ กสิกรรมไปตลอดจนสิ้นระบบการปกครองแบบฟาโรห์  

               เครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการควบคุมเลี้ยงสัตว์ในยุคนั้นก็คือ ไม้เท้าที่มีตะขอ(CROOK) ขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง  เข้าใจว่า  คนเลี้ยงอาจจะใช้ในการช่วยพยุงเดินเหมือนไม้เท้า  และ  ใช้ตะขอในการเกี่ยวคอสัตว์เลี้ยงไม่ให้เดินไปทางอื่น


(ตะขอ)

               เครื่องมืออีกชนิดหนึ่ง ซึ่งคล้ายๆกับกระบองสองท่อนของบรู๊ซ ลี  มีด้ามจับซึ่งคล้องด้วยโซ่ติดกับปลายอีกด้านที่มีท่อนไม้หรือโลหะหลายท่อน  ผมจะเรียกว่าแส้ (FRAIL) ครับ  


(แส้)

               เครื่องมือดังกล่าว  มีไว้สำหรับใช้ฟาดรวงข้าวเพื่อให้เมล็ดข้าวหลุดออกมาจากรวง   ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวนี้  มีใช้อยู่ทั่วไป  แม้กระทั่งในยุโรป

               ด้วยเหตุนี้  อียิปต์โบราณ  จึงเลือกเอา ตะขอ และ แส้ มาเป็นสัญลักษณ์ และ เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่ใช้สำแดงความเป็นกษัตริย์ หรือ ฟาโรห์   เพื่อยืนยันความเป็นชาติเกษตรและกสิกรรม  


(โลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุน จะเห็นตุตันคามุนถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ตะขอ และ ไส้ในมือทั้งสองข้าง)

               โดยฟาโรห์จะถือ  ตะขอ เอาไว้ในมือข้างหนึ่ง  และ ในมืออีกข้างหนึ่งก็จะถือ แส้  โดยมือทั้งสองจะวางไขว้ทับกันในลักษณะของเทพโอไซริส(OSIRIS) 

               สำหรับท่านที่สนใจจะเดินทางท่องเที่ยวเจาะลึกอียิปต์ กับ ผม  สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร 026516900 หรือ  088 578 6666 หรือ Line ID 14092498   หรือหากสนใจจะซื้อหนังสือ “ท่องโลกศิลปวัฒนธรรมกับ เสรษฐวิทย์” เล่ม 2 “อียิปต์- กรีซ – ตุรี”  ก็สามารถสั่งซื้อได้เช่นกัน

               พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .