การสาธารณสุขไทย สู้การสาธารณสุขอินเดีย ได้หรือไม่

สัพเพเหระ                                 (3 มีนาคม 2565)

การสาธารณสุขไทย  สู้การสาธารณสุขอินเดีย ได้หรือไม่

โดย                   เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ

               ก่อนจะอ่านบทความนี้  ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทำใจเป็นกลางเหมือนเป็นคนประเทศอื่นที่ไม่ใช่คนไทย  แล้วพิจารณาจากข้อเท็จจริงครับ


(รายงานผลของวันที่ 1 มีนาคม 2565)

               รายงานผลของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 และ ผู้เสียชีวิตของไทย ไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย   จำนวนรวมทั้งหมด รวมทั้งยอดผู้ตรวจด้วยวิธี ATK ทะลุ 5 หมื่นคนไปแล้ว

               จำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังอยู่ที่ 43 คนต่อวัน


(รายงานผลของวันที่ 1 มีนาคม 2565)

               ที่น่าเป็นห่วงคือ  ผู้มีอาการหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 700 คนของเมื่อหลายวันก่อนเป็น 990 คน  และยอดผู้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพิ่มขึ้นจากประมาณ 220 คนเมื่อหลายวันก่อนมาเป็น 290 คน

               มีบางท่านบอกว่า  ต้องรอให้มันถึงจุดสูงสุดไปก่อน  ถึงจะลดลง (โดยธรรมชาติ)   ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า  เราใช้ระบบสาธารณสุขแบบโชคดีก็รอด   โชคร้ายก็ตาย


(รายงานของวันที่ 3 มีนาคม 2565  จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสกพุ่งขึ้นเป็น 1,131 คน  เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 325 คน  ขณะที่คนที่ตรวจเจอโควิดทุกแบบรวมกันอยู่ที่ 6.5 หมื่นคน)

               ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ  วินาทีนี้ไม่มีสถานพยาบาล  หรือ  โรงพยาบาลใดรับผู้ป่วยโควิดรายใหม่เข้ารับการรักษาแล้ว

               ผมคุยกับเพื่อนที่กอลกัตตา ในรัฐเบงกอล อินเดีย ผู้เคยผ่านการติดโควิด 19 มาแล้วทั้งครอบครัว  และผมได้นำเอารายละเอียดในการรักษาของรัฐบาลรัฐเบงกอลมาเล่าให้ฟังนานแล้ว   ว่าวิธีการรักษาของเขามีประสิทธิภาพอย่างไร


(ใบสั่งยาจากหมอ ที่เขียนอย่างเรียบง่าย  คนไข้จะต้องไปซื้อยาเองตามร้านขายยา  ที่มีราคาถูกมาก)

               แค่ระบบการติดตามผลทางโทรศัพท์  การสั่งยา  และ  การควบคุมค่าใช้จ่ายในการตรวจ และรักษาของเขา ก็กินของเราขาดแล้ว 

               วันที่ 2 มีนาคม 2565  เพื่อนผมรายงานการติดเชื้อ และคนตาย ของวันที่ 1 มีนาคม 2565 มาทางไลน์ว่า  Corona update – West Bengal – Total infection  -89, Number of death – 1.    India – Total infection – 6915,  Death – 180,  Kerala itself -110.


(แผนที่อินเดีย และ  รัฐเบงกอลตะวันตก (ลูกศรขวาบน) และ รัฐเคเรลา (ลูกศรด้านล่างซ้าย))

               หมายความว่า  ในรัฐเบงกอลตะวันตก ที่มีประชากร 101.4 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 89 คน  และ  มีคนเสียชีวิตเพียง 1 คน

               ในขณะที่ ทั้งประเทศอินเดียซึ่งมีประชากรประมาณ 1400 ล้านคนมีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 6915 คนเท่านั้น  และมีผู้เสียชีวิต 180 คน  ในจำนวนนี้  เป็นผู้เสียชีวิตจากรัฐเคราลารัฐเดียวถึง 110 คนเข้าไปแล้ว

               ปัจจุบัน  แทบทุกอย่างในอินเดียกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนตอนก่อนหน้าโควิดระบาดแล้ว  แต่ยังให้มีการสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ  และ  ให้นักเรียนไปเรียนที่โรงเรียนสัปดาห์ละ 2 วัน  ที่เหลือให้เรียนทางออนไลน์

               ถ้าเรานับจำนวนผู้ติดเชื้อและตายจากฐานจำนวนประชากรที่เท่ากัน  จำนวนผู้ติดเชื้อของไทยจะต้องไปอยู่ที่ 2,0420 คูณ 20  เท่ากับ 408,400 คน  และจำนวนผู้เสียชีวิตจะอยู่ที่ 43 คูณ 20 เท่ากับ 860 คนต่อวัน

               ต้องไม่ลืมว่า  เดือนพฤษภาคมปี 2564   อินเดียถูกไวรัสโควิดกลายพันธุ์เดลต้าโจมตีอย่างหนักจนมีคนติดเชื้อมากถึง 4 แสนคนต่อวัน  และ มีคนเสียชีวิตล้มตายแบบใบไม้ร่วงจนเผาศพไม่ทัน

               แต่เพียงแค่ 2 เดือนเศษ  รัฐบาลอินเดียสามารถจัดการกับโควิดสายพันธุ์เดลต้าจนจำนวนคนติดเชื้อลดลงเหลือวันละ 4 หมื่นคนเท่านั้นในช่วงเวลา 3 เดือน  และจนกระทั่งลดลงเหลือ 1 หมื่นเศษ เมื่อ 4-5 เดือนก่อน

               และลงมาเรื่อยๆจนเกือบเป็นปกติอย่างเช่นในวันนี้

               ในขณะที่ประเทศไทยกลับมีการระบาดหนักด้วยไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน

               เราเคยสำรวจกันบ้างมั้ยว่า  ทำไม  อินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า กลับไม่มีข่าวการระบาดของสายพันธุ์นี้เลย  และ  เพราะอะไร

              จากประสบการณ์ของผมที่ได้เดินทางไปอินเดียมานานเกือบ 30 ปี  ทำให้เห็นว่าคนอินเดียทานอาหารที่ใช้สมุนไพรจำนวนมากมายหลายชนิด  พื้นฐานที่ทานกันเป็นหลักก็คือ  กระเทียม  มันฝรั่ง  หัวหอม  หัวหอมแดง  มะเขือเทศ  พริกหยวก  พริกชี้ฟ้า   ขมิ้น   กระวาน  กานพลู   ผักชี  และอื่นๆ  รวมทั้งนมสด  และ  เนยที่เรียกว่า  กี (GHEE) ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นยารักษาโรค และ รักษาและป้องกันโควิด 19 ทั้งสิ้น


(ยา IVERMECTIN ที่ผลิตในอินเดีย  แต่ไม่สามารถนำเข้ามาในประเทศไทยได้)

               นอกจากนี้  หมออินเดียยังใช้ยา IVERMECTIN เป็นยามาตรฐานในการรักษาอาการของคนติดโควิด  รวมทั้งอินเดียมีระบบการติดตามการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง  มีบริการช่วยซื้อของกินของใช้โดยหน่วยอาสาสมัครให้คนที่กักตัวอยู่กับบ้าน  เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ต้องออกมานอนบ้าน 

ที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยจะไม่ต้องจ่ายค่าบริการซื้อของ  หรือส่งของเหล่านี้เลย

ทุกวันจะมีนายแพทย์โทรศัพท์มาหาผู้ป่วยเพื่อเช็คดูอาการวันละ 2 ครั้ง หากมีอาการหนักขึ้น เขาก็จะส่งรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาลทันที

               แต่ประเทศไทย และ โลกตะวันตกผู้ผลิตวัคซีน และ ยารักษาโควิดประเภทอื่นๆ ไม่ยอมรับยา IVERMECTIN  เพียงเพราะเป็นยาที่ใช้สำหรับถ่ายพยาธิในสัตว์ และ  ราคาถูกเกินไปเท่านั้น  คือ  ราคาเพียงเม็ดละ 8 บาท  หรือ อาจจะถูกกว่านั้นหากซื้อจำนวนมาก

               หาก IVERMECTIN  ใช้ไม่ได้ผล  ทำไมอินเดียจึงใช้เป็นยามาตรฐานในการรักษาการติดเชื้อโควิด 

               มาตรการการช่วยเหลือในการรับมือกับโควิด 19  ของรัฐบาลอินเดียยังไม่จบแค่นี้ กล่าวคือ  ค่าตรวจหาเชื้อ   ค่ายา ค่ารักษาเมื่อติดเชื้อ  จะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล  เช่น  ค่าตรวจหาเชื้อโควิดถูกกำหนดให้เก็บได้ไม่เกิน 900 รูปี จะเก็บถูกกว่านั้นก็ไม่ผิด


(ในเสร็จรับเงิน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 2564  ระบุค่าตรวจ 1200 รูปี ซึ่งต่อมา  รัฐบาลสั่งให้ทุกแล็บ และ ทุกโรงพยาบาล คืนเงินส่วนเกินให้แก่ผู้ป่วยแล้ว)

              เพื่อนของผมถูกเก็บค่าบริการตรวจหาเชื้อเมื่อปีที่แล้วในราคา 1200 รูปี   ซึ่งเป็นค่าตรวจ 950 รูปี และ ค่าเจ้าหน้าที่มาตรวจที่บ้าน และ ส่งผลการตรวจอีก 250 รูปี แต่หากไปตรวจเองที่แล็บก็จะจ่ายเพียง 950 รูปีเท่านั้น

               มาตรการของรัฐบาลก็คือ   หากโรงพยาบาล หรือ ห้องแล็บใดเก็บค่าบริการเกินจากที่รัฐบาลกำหนดจะถูกยึดใบอนุญาตทันที

               ต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งก็คือ  อินเดีย ได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ไม่ใช่ประเทศเผด็จการที่ผู้นำจะสั่งการอะไรก็ได้นะครับ  

               ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย   ค่าตรวจหาเชื้อ RT PCR ตามโรงพยาบาลต่างๆจะอยู่ที่ตั้งแต่ 2 พันขึ้นไปจนถึง 4 พันบาทหรืออาจจะมากกว่านั้น  หรือประมาณ 4 พัน ถึง 8 พันรูปี  

คนไทยที่ไม่มีเงิน  ตายลูกเดียว

               โรงพยาบาลที่ตรวจฟรี  ก็รับตรวจในจำนวนที่จำกัดมากในแต่ละวัน  หรือ  ต้องลงทะเบียนจองก่อนหากจองไม่ได้ก็ต้องรอไปจนอาการหนักหนาสาหัส หรือ  ตายไปก่อนกว่าจะได้ตรวจ

               พิจารณารอบด้านแล้ว  เราจะเห็นว่า  รัฐบาลอินเดียให้ความใส่ใจ  และ  ดูแลประชาชนที่ยากจนของเขาอย่างดีที่สุด  เพื่อให้ประชาชนของเขาอยู่รอดได้

               เชิญตัดสินใจได้ว่า  คุณจะให้คะแนน  การสาธารณสุขของไทยว่าเหนือกว่าของอินเดียอีกหรือไม่

Posted in สัพเพเหระ.