สัพเพเหระ (3 มีนาคม 2565)
การสาธารณสุขไทย สู้การสาธารณสุขอินเดีย ได้หรือไม่
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ก่อนจะอ่านบทความนี้ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทำใจเป็นกลางเหมือนเป็นคนประเทศอื่นที่ไม่ใช่คนไทย แล้วพิจารณาจากข้อเท็จจริงครับ
รายงานผลของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 และ ผู้เสียชีวิตของไทย ไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย จำนวนรวมทั้งหมด รวมทั้งยอดผู้ตรวจด้วยวิธี ATK ทะลุ 5 หมื่นคนไปแล้ว
จำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังอยู่ที่ 43 คนต่อวัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้มีอาการหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 700 คนของเมื่อหลายวันก่อนเป็น 990 คน และยอดผู้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพิ่มขึ้นจากประมาณ 220 คนเมื่อหลายวันก่อนมาเป็น 290 คน
มีบางท่านบอกว่า ต้องรอให้มันถึงจุดสูงสุดไปก่อน ถึงจะลดลง (โดยธรรมชาติ) ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า เราใช้ระบบสาธารณสุขแบบโชคดีก็รอด โชคร้ายก็ตาย
ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ วินาทีนี้ไม่มีสถานพยาบาล หรือ โรงพยาบาลใดรับผู้ป่วยโควิดรายใหม่เข้ารับการรักษาแล้ว
ผมคุยกับเพื่อนที่กอลกัตตา ในรัฐเบงกอล อินเดีย ผู้เคยผ่านการติดโควิด 19 มาแล้วทั้งครอบครัว และผมได้นำเอารายละเอียดในการรักษาของรัฐบาลรัฐเบงกอลมาเล่าให้ฟังนานแล้ว ว่าวิธีการรักษาของเขามีประสิทธิภาพอย่างไร
แค่ระบบการติดตามผลทางโทรศัพท์ การสั่งยา และ การควบคุมค่าใช้จ่ายในการตรวจ และรักษาของเขา ก็กินของเราขาดแล้ว
วันที่ 2 มีนาคม 2565 เพื่อนผมรายงานการติดเชื้อ และคนตาย ของวันที่ 1 มีนาคม 2565 มาทางไลน์ว่า Corona update – West Bengal – Total infection -89, Number of death – 1. India – Total infection – 6915, Death – 180, Kerala itself -110.
หมายความว่า ในรัฐเบงกอลตะวันตก ที่มีประชากร 101.4 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 89 คน และ มีคนเสียชีวิตเพียง 1 คน
ในขณะที่ ทั้งประเทศอินเดียซึ่งมีประชากรประมาณ 1400 ล้านคนมีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 6915 คนเท่านั้น และมีผู้เสียชีวิต 180 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้เสียชีวิตจากรัฐเคราลารัฐเดียวถึง 110 คนเข้าไปแล้ว
ปัจจุบัน แทบทุกอย่างในอินเดียกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนตอนก่อนหน้าโควิดระบาดแล้ว แต่ยังให้มีการสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และ ให้นักเรียนไปเรียนที่โรงเรียนสัปดาห์ละ 2 วัน ที่เหลือให้เรียนทางออนไลน์
ถ้าเรานับจำนวนผู้ติดเชื้อและตายจากฐานจำนวนประชากรที่เท่ากัน จำนวนผู้ติดเชื้อของไทยจะต้องไปอยู่ที่ 2,0420 คูณ 20 เท่ากับ 408,400 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตจะอยู่ที่ 43 คูณ 20 เท่ากับ 860 คนต่อวัน
ต้องไม่ลืมว่า เดือนพฤษภาคมปี 2564 อินเดียถูกไวรัสโควิดกลายพันธุ์เดลต้าโจมตีอย่างหนักจนมีคนติดเชื้อมากถึง 4 แสนคนต่อวัน และ มีคนเสียชีวิตล้มตายแบบใบไม้ร่วงจนเผาศพไม่ทัน
แต่เพียงแค่ 2 เดือนเศษ รัฐบาลอินเดียสามารถจัดการกับโควิดสายพันธุ์เดลต้าจนจำนวนคนติดเชื้อลดลงเหลือวันละ 4 หมื่นคนเท่านั้นในช่วงเวลา 3 เดือน และจนกระทั่งลดลงเหลือ 1 หมื่นเศษ เมื่อ 4-5 เดือนก่อน
และลงมาเรื่อยๆจนเกือบเป็นปกติอย่างเช่นในวันนี้
ในขณะที่ประเทศไทยกลับมีการระบาดหนักด้วยไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
เราเคยสำรวจกันบ้างมั้ยว่า ทำไม อินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า กลับไม่มีข่าวการระบาดของสายพันธุ์นี้เลย และ เพราะอะไร
จากประสบการณ์ของผมที่ได้เดินทางไปอินเดียมานานเกือบ 30 ปี ทำให้เห็นว่าคนอินเดียทานอาหารที่ใช้สมุนไพรจำนวนมากมายหลายชนิด พื้นฐานที่ทานกันเป็นหลักก็คือ กระเทียม มันฝรั่ง หัวหอม หัวหอมแดง มะเขือเทศ พริกหยวก พริกชี้ฟ้า ขมิ้น กระวาน กานพลู ผักชี และอื่นๆ รวมทั้งนมสด และ เนยที่เรียกว่า กี (GHEE) ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นยารักษาโรค และ รักษาและป้องกันโควิด 19 ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ หมออินเดียยังใช้ยา IVERMECTIN เป็นยามาตรฐานในการรักษาอาการของคนติดโควิด รวมทั้งอินเดียมีระบบการติดตามการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง มีบริการช่วยซื้อของกินของใช้โดยหน่วยอาสาสมัครให้คนที่กักตัวอยู่กับบ้าน เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ต้องออกมานอนบ้าน
ที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยจะไม่ต้องจ่ายค่าบริการซื้อของ หรือส่งของเหล่านี้เลย
ทุกวันจะมีนายแพทย์โทรศัพท์มาหาผู้ป่วยเพื่อเช็คดูอาการวันละ 2 ครั้ง หากมีอาการหนักขึ้น เขาก็จะส่งรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาลทันที
แต่ประเทศไทย และ โลกตะวันตกผู้ผลิตวัคซีน และ ยารักษาโควิดประเภทอื่นๆ ไม่ยอมรับยา IVERMECTIN เพียงเพราะเป็นยาที่ใช้สำหรับถ่ายพยาธิในสัตว์ และ ราคาถูกเกินไปเท่านั้น คือ ราคาเพียงเม็ดละ 8 บาท หรือ อาจจะถูกกว่านั้นหากซื้อจำนวนมาก
หาก IVERMECTIN ใช้ไม่ได้ผล ทำไมอินเดียจึงใช้เป็นยามาตรฐานในการรักษาการติดเชื้อโควิด
มาตรการการช่วยเหลือในการรับมือกับโควิด 19 ของรัฐบาลอินเดียยังไม่จบแค่นี้ กล่าวคือ ค่าตรวจหาเชื้อ ค่ายา ค่ารักษาเมื่อติดเชื้อ จะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล เช่น ค่าตรวจหาเชื้อโควิดถูกกำหนดให้เก็บได้ไม่เกิน 900 รูปี จะเก็บถูกกว่านั้นก็ไม่ผิด
เพื่อนของผมถูกเก็บค่าบริการตรวจหาเชื้อเมื่อปีที่แล้วในราคา 1200 รูปี ซึ่งเป็นค่าตรวจ 950 รูปี และ ค่าเจ้าหน้าที่มาตรวจที่บ้าน และ ส่งผลการตรวจอีก 250 รูปี แต่หากไปตรวจเองที่แล็บก็จะจ่ายเพียง 950 รูปีเท่านั้น
มาตรการของรัฐบาลก็คือ หากโรงพยาบาล หรือ ห้องแล็บใดเก็บค่าบริการเกินจากที่รัฐบาลกำหนดจะถูกยึดใบอนุญาตทันที
ต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งก็คือ อินเดีย ได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ใช่ประเทศเผด็จการที่ผู้นำจะสั่งการอะไรก็ได้นะครับ
ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย ค่าตรวจหาเชื้อ RT PCR ตามโรงพยาบาลต่างๆจะอยู่ที่ตั้งแต่ 2 พันขึ้นไปจนถึง 4 พันบาทหรืออาจจะมากกว่านั้น หรือประมาณ 4 พัน ถึง 8 พันรูปี
คนไทยที่ไม่มีเงิน ตายลูกเดียว
โรงพยาบาลที่ตรวจฟรี ก็รับตรวจในจำนวนที่จำกัดมากในแต่ละวัน หรือ ต้องลงทะเบียนจองก่อนหากจองไม่ได้ก็ต้องรอไปจนอาการหนักหนาสาหัส หรือ ตายไปก่อนกว่าจะได้ตรวจ
พิจารณารอบด้านแล้ว เราจะเห็นว่า รัฐบาลอินเดียให้ความใส่ใจ และ ดูแลประชาชนที่ยากจนของเขาอย่างดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนของเขาอยู่รอดได้
เชิญตัดสินใจได้ว่า คุณจะให้คะแนน การสาธารณสุขของไทยว่าเหนือกว่าของอินเดียอีกหรือไม่