ทัวร์กราบไหว้สุสานบรรพบุรุษ ที่เหมยเสี่ยน(ตอน 4)

ซอกซอนตะลอนไป    (8 สิงหาคม  2557)

ทัวร์กราบไหว้สุสานบรรพบุรุษ ที่เหมยเสี่ยน(ตอน 4)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               เหมยเสี่ยน มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน  เรียกว่า  แม่น้ำ “เหมยเจียง” (: 😉  แปลว่า  แม่น้ำลูกท้อ    

               อันที่จริง  คำว่า “เจียง”นั้นแปลว่า  แม่น้ำ อยู่แล้ว  เช่นคำว่า  แม่น้ำแยงซีเกียง ก็มาจากคำว่า ฉางเจียง   


(แผนที่แสดงเมืองซัวเถา  และ เหมยเสี่ยน  ตามลูกศรชี้)

               สำหรับคนอื่นๆ   แม่น้ำเหมยเจียง อาจไม่มีความหมายอะไร  แต่สำหรับผม และ พี่น้องทุกคน   แม่น้ำเหมยเจียง มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวโยงกับครอบครัวผมโดยตรง  เช่นเดียวกับชาวจีนแคะอีกจำนวนมากที่มีถิ่นกำเนิดในเหมยเสี่ยน

               เพราะอาปา  และ  อาแม หรือ  คุณพ่อ และ  คุณแม่ ของผมลงเรือจากท่าเรือบนแม่น้ำสายนี้เมื่อประมาณ 70 กว่าปีที่แล้วเพื่อล่องไปอีก 7 วัน 7 คืน  จนถึงเมืองซันเถา Shàntóu ( 汕头)ในภาษาจีนกลาง  หรือ  ซัวเถา ในภาษาแต้จิ๋ว 


(ประตูขวามือห้องแรก   เป็นห้องที่อาปาของผมเคยนอนในช่วงวัยรุ่นก่อนเดินทางมาประเทศไทย)

(ภายในห้องที่อาปาเคยนอน  เดี๋ยวนี้กลายเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำนาที่ไม่ได้ใช้แล้ว)

               ซัวเถา  เป็นเมืองท่าเรือสำเภาที่นำผู้โดยสารจากเมืองจีนไปยัง เมืองไทย ที่ชาวจีนแคะเรียกว่า  เสี่ยมหล่อ

               อาปาเล่าให้ฟังว่า  ตอนไปรอขึ้นเรือที่ซัวเถา  เงินในกระเป๋าก็ไม่ค่อยมี  ก็อาศัยอาหารการกินราคาถูกๆประทังชีวิต  หนึ่งในนั้นก็คือ   เต้าหู้ก้อนต้ม  

               “เป็นเต้าหู้ก้อนต้มที่อร่อยมากที่สุดเท่าที่เคยทานทีเดียว” อาปาเล่า    คงเป็นเพราะท่านคงหิวมาก 

               พูดถึงเต้าหู้แล้ว   ก็ขอเล่าเรื่องเต้าหู้สักเล็กน้อย

               เต้าหู้เป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของชาวฮั่น  หรือ ชาวจีนมาเป็นเวลาช้านาน   ไม่ต่ำกว่า 2,500 ปีขึ้นไป   ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า   ระหว่างเต้าหู้   กับ  เส้นก๋วยเตี๋ยว  อะไรจะเกิดก่อนกัน

เต้าหู้จะใช้ถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการทำ   ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามหาศาล  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   สำหรับคนยากคนจนทั่วไป 

               เพราะผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า   เต้าหู้ มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญที่มีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์นับเป็น 10 เท่า

               แต่ที่น่าสนใจก็คือ   ว่ากันว่า   นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนคือ  ขงจื่อ((孔夫子 ,  หรือ  CONFUCIUS)  ผู้ซึ่งมีชีวิตร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ประมาณปี 551 ถึง ปี 479 ก่อนคริสตกาล  ตรงกับยุคสมัย “ชุนชิว”  หรือ “ยุคใบไม้ผลิ และ ใบไม้ร่วง” ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน   

ท่านขงจื่อ ปฎิเสธที่จะกินเต้าหู้ตลอดชีวิต   ด้วยเหตุผลก็คือ  


(ภาพจินตนาการของขงจื่อ) 

               ท่านไม่อาจหาเหตุผลได้ว่า   ทำไม  น้ำถั่วเหลืองจึงกลายมาเป็นก้อนเต้าหู้แข็งๆได้ 

               ท่านขงจื่อ  ได้เขียนตำราเอาไว้หลายเล่ม  ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่อง จริยธรรมของบุคคล  และ  จริยธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง  , ความสัมพันธ์ต่อสังคมและต่อผู้อื่น  , ความยุติธรรม  และ  ความซื่อสัตย์ 

               แนวความคิดของท่านขงจื่อนี่เอง   ที่เป็นรากฐานของแนวความคิดทางสังคมของชาวจีนก่อนยุคปฎิวัติคอมมิวนิสต์   ซึ่งชาวจีนโพ้นทะเล  และ ชาวจีนในประเทศไทยยังคงยึดมั่นอยู่    ไม่ว่าจะมากหรือน้อยอย่างไรก็ตาม


(เต้าหู้แข็ง ปริศนาที่อยู่ในหัวใจของ ขงจื่อ มาตลอดทั้งชีวิต)  

               บ้านเกิดของอาปา ที่ตำบลชาปี ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆอยู่ในหุบเขาที่เงียบสงบ  ปัจจุบันเหลือลูกชายของอาสุก หรือ  ลูกชายของคุณอาดูแลอยู่   เขามีอาชีพเป็นครู  ยามว่างจากการสอนหนังสือก็จะทำไร่ทำนาด้วย

               แต่ช่วงหลัง   ราคาข้าวตกต่ำมาก   ก็เลยยกที่นาให้คนอื่นไปทำแบบฟรีๆ  ไม่คิดค่าเช่า  

               ในสมัยก่อน  ถนนเข้าหมู่บ้านค่อนข้างเล็กและแคบ   บางช่วงต้องผ่านลำธารสายเล็กที่จะมีน้ำมากเฉพาะช่วงน้ำหลาก   สูงกว่าระดับน้ำในปัจจุบันอีกไม่ต่ำกว่า 3 – 4 เมตร

               คุณอาเล่าให้ฟังว่า   อาปาของผมก็เคยมากระโดดน้ำเล่นที่ลำธารสายนี้ตอนเด็กๆ 

แต่ก่อนไม่มีสะพานข้ามลำธารที่สร้างอย่างแข็งแรงได้มาตรฐาน    ชาวบ้านต้องเดินบนสะพานไม้ไผ่ที่เอามาผูกกันให้ใช้งานได้เท่านั้น  


(ลำธารที่เคยมีขนาดใหญ่ และ เชี่ยวกราก  ปัจจุบันเหลือน้ำน้อยมาก  เพราะชาวนาดึงน้ำไปใช้ในการทำนามากขึ้น)

               เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว   บรรดาญาติพี่น้องแซ่เดียวกันรวบรวมเงินได้ก้อนหนึ่งมาสร้างสะพานคอนกรีตข้ามลำธารสายนี้เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์    ตามความเชื่อโบราณที่ว่า

               “การสร้างสะพานให้คนได้เดินข้าม  จะได้บุญกุศลมาก” 


(สะพานคอนกรีตที่สร้างขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจ ของชาวจืนโพ้นทะเลที่ยังสำนึกในบุญคุณของบ้านเกิดอยู่ )

(ก่อนถึงตัวสะพาน  จะมีจารึกแผ่นป้ายหินบอกชื่อของผู้ร่วมบริจาค และ ผู้ดำเนินการสร้างสะพานดังกล่าว  เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สำนึกในคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้)

               แนวความคิดดังกล่าว   น่าจะเป็นแนวความคิดดั่งเดิมของขงจื่อ  ในเรื่องของ จริยธรรมต่อครอบครัวและบรรพบุรุษ   และความสัมพันธ์ต่อสังคม และ ผู้อื่น  ที่ได้รับการถ่ายทอดต่อๆกันมา   จากรุ่นสู่รุ่น  

               เป็นจิตวิญญาณ ที่ดำรงอยู่ในตัวของชาวจีนทุกคน  และเป็นแรงผลักดันให้ผมและพี่น้องของผม  เดินทางมากราบไหว้สุสานของบรรพบุรุษของเรา  ด้วยสำนึกแห่งความกตัญญูต่อคนรุ่นก่อนๆ     

               พบกันใหม่ตอนหน้า    สวัสดีครับ     

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

3 Comments

  1. เหมือนได้ร่วมเดินทางไปด้วยเลยครับ ชอบๆๆๆ คุณยายของผมก็เดินทางมาจากเมืองจีน ท่านเป็นจีนแต้จิ๋วครับนั่งเรือสำเภามาเมืองไทยเลยได้ชื่อไทยว่า” สำเภา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *