ซอกซอนตะลอนไป (18 กันยายน 2558 )
“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี”จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
อาจเพราะเด็กหญิงมณี ได้อ่านหนังสือนิยายฝรั่งมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นของ อเล็กซานเดอร์ ดูมาส และ วิคเตอร์ ฮิวโก เนื่องจากมารดาที่เป็นชาวอังกฤษได้สอนให้เธออ่านหนังสือมาแต่อายุยังน้อย จึงทำให้ลีลาการเขียนหนังสือของคุณหญิงมณีมีรูปแบบคล้ายๆการเขียนหนังสือของนักเขียนตะวันตก
คุณหญิงมณีจะเกริ่นเรื่องราวในอนาคตไว้นิดหนึ่ง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากรู้ และติดตามอ่านต่อไป และ ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ และ ตัวละครที่สำคัญๆในเรื่องอย่างละเอียด
เมื่อสิ้นบิดาไปคนหนึ่ง และ มารดาก็ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นเรื่องเป็นราวได้ มารดาจึงนำเด็กหญิงมณีไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำเซนต์แมรี่ เอส พี จี แล้วเธอก็จะเดินทางกลับไปอังกฤษ เธอบอกกับทางโรงเรียนว่า จะส่งค่าเล่าเรียนจากอังกฤษมาให้เอง
ขณะนั้น เด็กหญิงมณีน่าจะอายุประมาณ 11-12 ขวบ เธอไม่รู้เลยว่า การแยกจากกันกับมารดาครั้งนี้จะต้องยาวนานถึง 7 ปี
ช่วงเวลา 7 ปีที่เด็กหญิงมณี ต้องพักอยู่ในหอพักโรงเรียนประจำแห่งนี้ ถูกเล่าเป็นเรื่องราวอย่างละเอียดในหนังสือชุดนี้
ที่น่าสังเกตก็คือ ในขณะที่คุณหญิงมณีเขียนหนังสือเล่มนี้นั้น ท่านอายุประมาณ 70 ปีเศษ การบรรยายเหตุการณ์เมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็นเรื่องที่ผมคิดว่า ไม่ง่าย ทั้งด้วยเรื่องรายละเอียดของสถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ และ ชื่อของบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์
แต่คุณหญิงมณี ก็ให้รายละเอียดได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งชีวิตประจำวันของเด็กชาวหอ ที่มีการแบ่งชนชั้นกัน พวกเด็กลูกครึ่งเช่น พ่อเป็นฝรั่งแม่เป็นคนไทยจะถูกพวกนักเรียนเช้าไปเย็นกลับดูถูก และ ชาวตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยก็จะดูแคลนเหยียดหยามคนที่ไปมีครอบครัวกับชาวตะวันออกด้วย
คุณหญิงมณี ยังระบุชื่อของเพื่อนในหอเดียวกันได้อย่างแม่ยำ เช่น ท่านเขียนว่า “มีเพื่อนคนหนึ่งมาจากตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตา และฐานะดีมาก ชื่อ เมเบอร์ต(MEBERT) บิดาเป็นชาวอังกฤษ มารดาเป็นคนปากน้ำโพ”
นอกจากนี้ ท่านยังพูดถึงรูปร่างหน้าตาบุคลิค ชื่อของครู และแม้กระทั่งรูปแบบและสีสรรของเสื้อผ้าที่ใช้กันในสมัยนั้นได้อย่างละเอียด
ผมลองผูกดวงชะตาของคุณหญิงมณี เพื่อดูเรื่องสมอง และ ความจำของท่าน ก็พบว่า ดวงในจักรราศีบอกว่า ท่านมีความที่ดี และ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้อย่างดียิ่งทีเดียว
ตลอดช่วงเวลา 7 ปีในโรงเรียนประจำแห่งนี้ มารดาของเด็กหญิงมณี ไม่อนุญาตให้ญาติฝ่ายบิดา คือ สมาชิกจากสกุลบุนนาค ไม่ว่าใครก็ตามมาเยี่ยม หรือ พาเด็กหญิงมณีออกไปเที่ยวข้างนอกเลย ซึ่งแหม่มชาวอังกฤษที่เป็นผู้ดูแลโรงเรียนก็ต้องปฎิบัติตาม
ดังนั้น 7 ปีของการอยู่ในโรงเรียนประจำ จึงเป็น 7 ปีแห่งความโดดเดี่ยวว้าเหว่อย่างยิ่ง เพราะบรรดาเพื่อนๆที่อยู่หอเดียวกัน จะมีพ่อแม่มารับกลับบ้านในช่วงเสาร์-อาทิตย์ และ วันปิดเทอมยาว
ยกเว้นเด็กหญิงมณี บุนนาค ที่กว่าญาติพี่น้องฝ่ายบิดาจะหาอุบายหลากหลายมาอ้างกับแหม่มผู้ดูแลโรงเรียน จนโรงเรียนยอมให้ญาติฝ่ายบิดาพาเธอออกไปข้างนอกได้ก็หลายปีผ่านไปแล้ว
หลังจากเข้าเรียนโรงเรียนประจำไม่กี่เดือน มารดาของเด็กหญิงมณี ก็ไม่ได้ส่งค่าเล่าเรียนมาให้โรงเรียนอีกเลย
หากไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน ผู้ปกครองก็ต้องมารับเด็กออกไป แต่ในกรณีของเด็กหญิงมณี เธอไม่มีผู้ปกครองอยู่ในเมืองไทยเลย โรงเรียนจะไล่เธอออกไปโดยไม่มีผู้ปกครองมารับก็เป็นสิ่งที่ครูใหญ่ของโรงเรียนไม่อาจทำได้
เด็กหญิงมณีเอาตัวรอดให้สามารถอาศัยอยู่ในโรงเรียนประจำแห่งนี้ต่อไปได้อย่างไร ผมอยากให้ลองไปอ่านดูนะครับ
ในที่สุดเธอก็เรียนและพักในหอพักโรงเรียน เซนต์แมรีย์ เอส พี จี จนจบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 8 หรือ ม.8 ในสมัยนั้น โดยไม่ต้องจ่ายเล่าเรียน ค่าอาหาร และ ค่าที่พักเลย
ขณะนั้นเธอมีอายุ 18 ปี กำลังเข้าสู่วัยสาว
เธอตัดสินใจสอบเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า พ้นจากอาณาเขตของหอพักโรงเรียนเซนต์แมรีย์ แล้ว เธอจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน
โชคดีที่มารดาของเธอเดินทางกลับมาเมืองไทย ทำให้เธอมีที่พึ่งที่จริงจังอีกครั้ง และเป็นการหักเหของชีวิตครั้งสำคัญอีกครั้งของนางสาวมณี
เพราะหากมารดาของเธอไม่ได้กลับมาเมืองไทย เธอก็คงจะต้องอาศัยพักพิงในโรงเรียนเซนต์ แมรี่ย์ ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย โดยมีโรงเรียนเซนต์แมรี่ย์ เป็นผู้อุปถัมภ์
ซึ่งเมื่อเธอสำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว เธอก็จะต้องกลับมาเป็นครูสอนนักเรียนที่นี่ต่อไป
หากเป็นเช่นนั้น วิถีชีวิตของนางสาวมณี ก็คงจะเป็นเพียงครูสอนภาษาคนหนึ่งในโรงเรียนแห่งนี้ คงไม่มีโอกาสเป็นสะใภ้หลวงของรัชกาลที่ 7 อย่างแน่นอน
ชีวิตมนุษย์ บางครั้งก็ยิ่งกว่าความฝัน
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
(สำหรับท่านที่ต้องการซื้อหนังสือชุดนี้ ติดต่อได้ที่เบอร์ 099 425 9112 คุณเพชรชมพู รายได้จากการจำหน่ายหนังสือจะเข้ามูลนิธิ มณี สิริวรสาร เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ยากจน)