ซอกซอนตะลอนไป (7 สิงหาคม 2558 )
นางาซากิ วันที่โลกต้องจดจำ(ตอน 1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
วันที่ 6 สิงหาคม ปีพ.ศ.2488 อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณู(ATOMIC BOMB) ลูกแรกลงที่เมือง ฮิโรชิมา เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ แต่ญี่ปุ่นยังเงียบ
วันที่ 9 สิงหาคม ให้หลังไปอีก 3 วัน อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูก ที่ 2 ที่เรียกว่า FAT MAN ลงที่เมือง นางาซากิ ยังผลให้ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
เดิมที อเมริกาเลือกที่จะทิ้งระเบิดที่เมืองโคคูรา(KOKURA) เป็นเป้าหมายที่หนึ่ง แต่ก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย เพราะสภาพอากาศที่เมืองโคคูราเต็มไปด้วยเมฆและหมอก ทำให้ทัศนวิสัยแย่มาก
นักบินจึงเปลี่ยนมาใช้แผนสองคือ เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเมืองนากาซากิแทน แม้จะรู้ว่า มีผู้คนอยู่ในเมืองนี้ประมาณ 263,000 คน เป็นคนพื้นเมืองส่วนใหญ่ นอกนั้นเป็นชาวเกาหลี และ ชาวตะวันตกที่เป็นเชลยศึก และ นักบวชทางศาสนาคริสต์ในโบสถ์
อันที่จริง เมืองโคคูรา ก็เป็นเป้าหมายสำรองของการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ตั้งใจจะทิ้งที่เมือง ฮิโรชิมา มาก่อน หากทัศนวิสัยของเมืองฮิโรชิมาไม่ดี ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของโหราศาสตร์ ก็ถือว่า ดวงเมืองของโคคูราคงจะแข็งเอาการ และชาวเมืองโคคูราเองก็คงจะทำบุญเอาไว้มากทีเดียว
วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558 จะเป็นวาระของการครบรอบ 70 ปี ของการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่เมืองนากาซากิ
บังเอิญ ตอนที่ไปชมพิพิทภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนากาซากิ (NAGASAKI ATOMIC BOMB MUSEUM) ผมได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า VOICES OF THE BOMB SURVIVORS NAGASAKI มาจากพิพิทภัณฑ์ระเบิดปรมาณู ที่เมืองนากาซากิ ซึ่งได้รวบรวมบันทึกของผู้รอดชีวิตจากระเบิดที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติในครั้งนี้จำนวนกว่า 1000 คน
เป็นบันทึกที่แสนหดหู่ใจอย่างยิ่ง ผมก็จึงขอนำเนื้อความของหนังสือเล่มนี้มาย่อยย่อให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันครับ
จากหลักฐานวัตถุคือนาฬิกาที่ตายเมื่อเวลา 11.02 น. ระบุว่า นี่คือ วินาทีมรณะของเมืองนากาซากิ และ วินาทีที่ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จำนวนนับแสนคนต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้าย
และไม่ใช่เพียงแค่วินาทีที่ระเบิดปรมาณูระเบิดขึ้นเท่านั้นที่สังหารชาวนากาซากิ หากยังสังหารผู้คนอย่างต่อเนื่องมาอีกหลายสิบปี ด้วยผลทางด้านรังสีร้ายที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายคน จนก่อให้เกิดโรคร้ายประหลาด และ ความพิกลพิการทางร่างกาย
จุดที่ระเบิดปรมาณูตกนั้น เรียกเป็นภาษาวิชาการว่า ไฮโปเซ็นเตอร์ (HYPOCENTER) ขยายเป็นวงกลมออกไปโดยมีรัศมีประมาณ 500 เมตร และ ขยายวงออกไปเรื่อยๆเป็นชั้นๆ จนกระทั่งรัศมีที่ 3,000 เมตร หรือ 3 กิโลเมตร เป็นขอบเขตการทำลายล้างของระเบิดลูกนี้
ส่วนที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นลูกทรงกลมในอากาศนั้น อุณหภูมิของมันจะอยู่ที่ประมาณหลายล้านองศาเซลเซียส ดังนั้น เราจึงน่าจะพอจินตนาการได้ว่า ตรงจุดไฮโปเซ็นเตอร์ จะมีอุณหภูมิความร้อนกี่องศา
คงน่าจะร้อนพอๆกับเปลวไฟในนรกขุมที่ลึกที่สุดนั่นแหละ
โดยผลของระเบิด ผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ในเขตรัศมี 500 เมตรที่เรียกว่า ไฮโปเซ็นเตอร์นั้น โอกาสรอดชีวิตแทบจะเป็นศูนย์ แต่ก็ยังมีคนรอด
บันทึกในหนังสือข้างต้นบอกว่า สุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ชื่อ โยเซ มัตซูโอ (YOSA MATSUO) ซึ่งขณะนั้น เธออายุ 55 ปี
ตอนระเบิด เธอหลบอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดินที่อยู่ใต้คุกแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากจุด ไฮโปเซ็นเตอร์ เพียงแค่ 184 เมตรเท่านั้น ในจำนวนผู้หลบภัยในหลุมหลบภัยจำนวน 50 คน มีผู้รอดชีวิตเพียง 7 คนเท่านั้น
เธอเล่าว่า มีแสงสว่างสีน้ำเงินวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และพื้นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่น เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก และเป็นลมล้มไป อีกพักใหญ่ต่อมา เธอลืมตาขึ้น และมองเห็นคนตายจำนวนมากอยู่รอบๆตัว
ตอนนั้น ร่างกายของเธอถูกเผาไหม้ไปมาก เสื้อผ้าละลายหายไปจนเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เธอพยายามจะขยับตัว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ และต้องนอนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน โดยไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่อึกเดียว จนกระทั่งมีคนมาช่วยในที่สุด
หลังจากได้รับการช่วยชีวิตออกมา เธอก็ไปพบหมอเพื่อรักษา แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ผิวหนังเริ่มเปื่อย เนื้อของเธอเริ่มเน่า และส่งกลิ่นเหม็น เธอเกรงใจคนอื่นที่จะต้องมาช่วยดูแล จึงได้ขอสำลีเช็ดแผลมาทำความสะอาดแผลด้วยการเช็ดเอาผิวหนัง และ เนื้อส่วนที่เน่าออกไปจนกระทั่งมองเห็นกระดูก
แล้วเธอก็โรยแผลด้วยแป้งเด็ก เพื่อทำให้แผลแห้งและตกสะเก็ด ในที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดี หรือ โชคร้ายของเธอกันแน่ เธอรอดชีวิตมาได้จนกระทั่งมาให้ปากคำในเหตุการณ์ครั้งนี้ในปีพ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นปีที่เธอเสียชีวิตพอดี ขณะมีอายุได้ 86 ปี
มัตซูโอ เสียชีวิตในปีพ.ศ. 2519 หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยจากเหตุการณ์ระเบิดอีกนาน 31 ปี สาเหตุหลักของการเสียชีวิตมาจากโรคเลือด ที่เรียกว่า PURPURA คืออาการที่ผิวหนังมีสีแดง และ สีม่วงอันเป็นผลมาจากเลือดออกใต้ผิวหนัง ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากรังสีของระเบิดปรมาณู
ผมจะนำบันทึกของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูในครั้งนี้มาเล่าต่อในสัปดาห์หน้าครับ อาจจะสยองขวัญสักหน่อย แต่ก็เป็นความจริงที่เราต้องเรียนรู้ว่า
มนุษย์เราโหดร้ายขนาดไหน
(ผมขออโหสิกรรมจากผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ ที่นำภาพของท่านมาเผยแพร่ มิได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างใด เพียงเพื่อเป็นอุทาหรณ์ต่อคนรุ่นหลังที่ยังไม่รู้จักถึงความโหดร้ายของอาวุธชนิดนี้เท่านั้น และขอภาวนาขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ได้ไปสู่ความสงบแล้วทุกท่าน)