ซอกซอนตะลอนไป (6 กุมภาพันธ์ 2558 )
สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น ญี่ปุ่น(ตอน 3)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
หลังจากเกิดเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์ซึนามิ ในญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ. 2554 ชาวโลกได้แต่แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชะตากรรมของชาวญี่ปุ่น และส่งทั้งกำลังใจ และ กำลังทรัพย์ไปช่วยกันอย่างล้นหลาม
แม้จะเป็นโศกนาฎกรรมที่ชาวโลกได้แต่แสดงความสลดใจต่อชาวญี่ปุ่น แต่ชาวญี่ปุ่นก็ได้สอนบทเรียนที่สำคัญให้แก่ชาวโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดถึงว่า
ชาวญี่ปุ่นจะมีระเบียบวินัย และ มีหัวใจที่แข็งแกร่งขนาดนี้
สำหรับท่านที่อาจจะนึกภาพไม่ออกว่า ซึนามิ จะมีความร้ายกาจขนาดไหน ผมจึงเอาลิงค์ของวิดีโอที่ชาวญี่ปุ่นได้ถ่ายภาพเหตุการณ์นี้เอามาให้ดูกันครับ
หลังจากซึนามิผ่านไป ชาวญี่ปุ่นอยู่ในสภาพบ้านไม่มีบ้านจะอยู่ ข้าวไม่มีจะกิน เงินแทบไม่เหลือติดกระเป๋า แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจว่า ไม่มีข่าวเรื่องการปล้นสะดมเพื่อแย่งชิงอาหาร หรือ ทรัพย์สินกันเลย ไม่ว่าจะหิวโหยขนาดไหน ไม่ว่าคิวจะยาวขนาดไหน ประชาชนชาวญี่ปุ่นจะเข้าคิวรอรับอาหารกันอย่างเงียบสงบ และ อดทน
เรื่องแบบนี้ จะไม่มีทางเกิดขึ้นในประเทศใดๆ แม้แต่กับสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ และมีมาตรฐานการศึกษาดีมากที่สุดชาติหนึ่ง
แต่ทำไมถึงเกิดขึ้นกับคนญี่ปุ่น
เพราะญี่ปุ่นถือ จารีตประเพณี ระเบียบสังคม มารยาทที่ดี แนวคิดไม่ทำให้ใครเดือดร้อน การเคารพผู้อื่น ให้เกียรติผู้อื่น และจิตวิญญาณของการยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น อันเป็นแนวคิดของ ขงจื่อ ที่เรียกว่า หลี่ ที่สืบทอดกันมาช้านาน
เราจึงได้ยินเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์ซึนามิ ที่มีบางคนได้รับอาหารแล้ว หลังจากต้องเข้าคิวเป็นเวลานาน ยอมยกอาหารให้คนอื่นที่เขาเห็นว่า อ่อนแอ หรือ มีความจำเป็นมากกว่าตนเอง
จิตสำนึกเหล่านี้ หากเราจะสร้าง คิดว่าจะต้องใช้เวลาในการสร้างสมนานสักเท่าไหร่
ชาวญี่ปุ่นเล่าให้ฟังว่า เมื่อร้อยปีที่แล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ยากจนเนื่องจากมีพื้นที่สภาพเป็นเกาะ เต็มไปด้วยภัยธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล
หรือ บางครั้งก็มีฝนตกมากเกินไปทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ประกอบกับบางครั้งฤดูหนาวยาวนานกว่าปกติ ทำให้ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่ให้ผ่านพ้นฤดูหนาวได้
นั่นหมายถึง ปีนั้นก็จะต้องมีผู้คนจำนวนมากต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความแร้นแค้น อดมื้อกินมื้อ หรือ หากโชคร้ายไปกว่านั้น ก็อาจถึงอดตายได้
มีคำเล่าขานกันว่า ในยุคโบราณมีหุบเขาที่เรียกกันว่า หุบเขาตายาย
ทำไมถึงเรียกว่า หุบเขาตายาย
ในสมัยนั้น ครอบครัวยังอยู่ร่วมกัน พ่อแม่ ลูก ปู่ย่า หรือ ตายาย เป็นครอบครัวใหญ่ พ่อซึ่งเป็นผู้ชายที่แข็งแรงที่สุดภายในครอบครัว ก็จะต้องทำงานเพียงคนเดียว เพื่อหาเลี้ยงลูกๆ กับ ผู้อาวุโสของครอบครัว
ไม่ต่างอะไรกับสังคมปัจจุบันนี้ที่เรียกว่า สังคมผู้สูงอายุ
ในบางปีที่เลวร้ายสุดๆ อาหารทำท่าจะไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งครอบครัวที่จะผ่านฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายได้ ตายาย หรือ อาจจะเป็นปู่ย่า ก็ได้ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในครอบครัว และเป็นผู้ที่ไม่อาจสร้างผลผลิต แต่เป็นผู้บริโภคผลผลิตเท่านั้น ก็จำต้องคิดหาวิธีเพื่อจะให้สมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่อยู่รอดให้ได้
ครอบครัวจึงต้องพาผู้อาวุโสในครอบครัว เดินทางเข้าไปในหุบเขา พร้อมด้วยอาหารพอกินได้สักไม่กี่มื้อ แล้วทิ้งผู้อาวุโสเอาไว้ในหุบเขา ตัวเองก็เดินทางกลับบ้าน
ปล่อยให้ผู้อาวุโสเสียชีวิตอยู่ในหุบเขาแห่งนั้น
แต่การวางแผนทำการแบบนี้ ว่ากันว่า ก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้อาวุโสด้วย ที่พร้อมจะเสียสละชีวิตเพื่อให้สายเลือดของตัวเองมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ด้วยมองเห็นว่า ตัวเองแก่แล้ว และไร้ประโยชน์อันใดต่อครอบครัว
หากเอามาตรฐานทางคุณธรรมของโลกวันนี้ไปตัดสิน เรื่องนี้ก็จะฟังดูโหดร้ายมาก และ ไร้ซึ่งคุณธรรม และ จริยธรรม
แต่เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรม และ จริยธรรม ที่สูงส่ง แสนจะลึกซึ้ง ล้ำลึกที่คนธรรมดาที่มองอย่างผิวเผินยากจะเข้าใจได้
และยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณ ของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคโบราณแล้วก็คือ พร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ทุกเมื่อ อันเป็นคุณธรรมที่สร้างสมขึ้นมาได้ยากที่สุดของมนุษย์
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ