ซอกซอนตะลอนไป (13 กุมภาพันธ์ 2558 )
สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น ญี่ปุ่น(ตอน 4)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ใครที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก จะต้องรู้สึกประทับบางสิ่งบางอย่างของชาวญี่ปุ่นเหมือนๆกัน ก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
เป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เรารู้สึกว่า คงจะหาชาติใดที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว
อันที่จริง เรื่องการอ่อมน้อมถ่อมตนนั้น คนไทยก็ได้รับการอบรมสั่งสอนทั้งด้วยวัฒนธรรมไทย และ วัฒนธรรมจีน ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ให้เกียรติผู้ที่มีอาวุโสกว่า เหล่านี้เป็นต้น
เป็นวัฒนธรรมที่ผสมสานกันระหว่างวัฒนธรรมศาสนาพุทธ และ วัฒนธรรมฮินดู ที่รับมาจากอินเดีย และ วัฒนธรรมของ ขงจื่อ ที่รับมาจากจีน ผ่านชาวจีนที่อพยพมาอาศัยในประเทศไทย
จึงอาจเรียกได้ว่า วัฒนธรรมไทยในปัจจุบันได้กลายพันธุจากวัฒนธรรมฮินดู วัฒนธรรมขงจื่อ และ วัฒนธรรมศาสนาพุทธ มาเป็นวัฒนธรรมใหม่ วัฒนธรรมแบบไทยๆ
ต่างจากวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ยังคงเหนียวแน่นในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้เนื่องแต่สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ประการหนึ่ง
แต่ที่สำคัญก็คือ ธาตุแท้ของคนญี่ปุ่น ที่ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่โหดร้ายมาโดยตลอด จึงมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย
คนญี่ปุ่นจึงมีวัฒนธรรมให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส และ อ่อนน้อมถ่อมตน
คนญี่ปุ่นจึงอ่อนน้อมถ่อมตนตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง พูดจาสุภาพแม้จะพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องนัก
ผมเคยเจอเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ยื่นส่งหนังสือเดินทางกลับคืนด้วยมือสองมือ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องหวังกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไทย แค่ไม่ถูกตวาด หรือ ทำหน้าบึ้งใส่ หรือ โยนหนังสือเดินทางกลับคืนมาให้ ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว
พนักงานขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่นทุกคนสุภาพ หากมีใครถามหาของที่ต้องการซื้อก็จะตอบด้วยความยินดี ซ้ำบางทีถ้าเห็นคนถามไม่ค่อยเข้าใจ ก็จะจูงมือพาเดินไปด้วยตัวเองเลย
เจ้าหน้าที่คิดเงินก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาจะโค้งคำนับ และกล่าวคำสวัสดีด้วยใบหน้าแย้มยิ้มที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเต็มใจที่จะให้บริการ พอคิดเงินเสร็จก็ถามอีกว่า มีบัตรโน่นบัตรนี่มั้ย จะได้ลดราคา ถ้าไม่มีก็เสนอตัวจะทำให้ก่อนเพื่อจะได้ลดราคา
ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นกับพนักงานคิดเงินของซุปเปอร์มาเก็ตไทยแน่นอน
พอจ่ายเงินเรียบร้อย เขาก็โค้งคำนับอย่างสุภาพอ่อนน้อมอีก พร้อมกล่าวคำขอบคุณที่มาใช้บริการด้วยใบหน้าแย้มยิ้มจริงใจ
ใครที่เคยช้อปปิ้งในซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองไทยจะเห็นว่า พนักงานเยอะมาก แต่ทำงานไร้ประสิทธิภาพสุดๆ เอาแต่คุยเล่นกัน เวลาถามหาอะไรก็ตอบส่งเดชแบบขอไปที
การยกมือไหว้สวัสดีลูกค้าของพนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ตไทยทุกแห่งก็เหลือทน ไหว้เหมือนรำคาญเต็มที หน้างอเป็นจวักเหมือนถูกสามีด่ามาจากบ้าน
การยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำสวัสดี หรือ ขอบคุณ พร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจริงใจที่เคยเป็นจุดเด่นของคนไทย หายไปหมดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า วันนี้ชาวญี่ปุ่นได้แย่งตำแหน่งนี้ไปจากเราแล้วหรือยัง
เพราะท่าทางการยกมือไหว้ การกล่าวคำว่าสวัสดี หรือ ขอบคุณ พร้อมเปิดปากยิ้ม มันสามารถสะท้อนลึกลงไปถึงจิตใจของผู้ไหว้เป็นอย่างดีว่า ทำด้วยความเต็มใจหรือไม่อย่างไร
จำได้ว่า เคยดูภาพยนตร์ตะวันตกที่ล้อเลียนการโค้งคำนับของคนญี่ปุ่น ผู้ชายคนหนึ่งยืนรอส่งผู้ชายอีกคนที่จะขึ้นรถหลังการรับประทานอาหาร ยืนโค้งคำนับขอบคุณซึ่งกันและกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งโค้งคำนับ อีกฝ่ายหนึ่งก็โค้งคำนับตอบ อีกฝ่ายหนึ่งก็โค้งคำนับตอบอีก ไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งรถมารับ ก็ยังยืนคำนับกันไป คำนับกันมา จนรถยนต์วิ่งออกไป ทั้งสองคนก็ยังโค้งคำนับกันไม่เลิก
อันที่จริง จิตวิญญาณเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตนของไทย ก็ไม่ต่างจากคำสอนของ ขงจื่อ เท่าใดนัก เพราะไทยเรามีสุภาษิตที่ว่า ต้นข้าวที่เต็มรวง จะอ้อนค้อมลงมา ซึ่งตรงกับคำสอนของ ขงจื่อ ที่ว่า บัณฑิตย่อมอ่อนน้อมถ่อมตน
วัฒนธรรมเรื่องความอ่อนน้ำถ่อมตนของญี่ปุ่น หมายรวมถึงการมีมารยาท รู้จักเกรงใจคนอื่น เช่น ไม่แสดงความคิดเห็นแบบหักหาญคู่สนทนา แต่จะพูดแบบถนอมน้ำใจ , จะไม่ไปเยี่ยมบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญ และ จะต้องไม่ไปในช่วงเวลาที่เจ้าบ้านรับประทานอาหาร ยกเว้นแต่ เจ้าบ้านเขาจะเชิญให้ทานอาหารด้วย
ว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากวัฒนธรรมไทยเท่าไหร่นัก แต่ของญี่ปุ่นเขาปฎิบัติกันอย่างจริงจังมากกว่า
จำได้ว่า สมัยเด็กได้รับการสั่งสอนว่า เมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ที่นั่งคุยกัน ต้องเดินค้อมตัวลง , เด็กต้องไม่นั่งเสมอผู้ใหญ่ , เมื่อแขกมาเยี่ยมบ้านต้องหาน้ำดื่มมาต้อนรับก่อนอื่น เป็นต้น
แต่วันนี้ จิตวิญญาณในเรื่อง ความอ่อนน้อมถ่อมตนของไทยได้หายไป จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่เหลือให้เห็นแล้ว
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่กระทรวงวัฒนธรรม และ กระทรวงศึกษา จะตระหนักถึงวัฒนธรรมที่ดีๆของไทยที่กำลังตายจากไป และ ต้องรีบร่วมกันฟื้นฟูให้คืนกลับมาด่วน
ก่อนที่เสน่ห์ของ ความเป็นไทย จะกลายเป็นแค่ตำนานคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเท่านั้น