ซอกซอนตะลอนไป (20 กุมภาพันธ์ 2558 )
สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น ญี่ปุ่น(ตอน 5)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
“ความซื่อสัตย์ เป็นคุณธรรมของ บัณฑิต” ขงจื่อ
ใครลืมทรัพย์สิน หรือ ทำของหายในประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะลืมในร้านอาหาร ลืมในห้องพักของโรงแรม ลืมในสถานีรถไฟ ลืมในสนามบิน เป็นต้น 99 เปอร์เซ็นต์จะได้รับของคืนครบถ้วน
ทั้งนี้ เพราะชาวญี่ปุ่นมีความเคร่งครัดในคุณธรรมข้อนี้เป็นอย่างมาก หากอะไรที่ไม่ใช่ของตนเอง เขาจะไม่หยิบฉวยมาเป็นของตนเองเป็นอันขาด
จึงจะไม่มีทางเห็นภาพ รถบรรทุกคว่ำ แล้วชาวบ้านแทนที่จะช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุ แต่กลับไปแย่งชิง ขโมย หรือ ปล้น สิ่งของที่รถที่ประสบอุบัติเหตุบรรทุกมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน และ อาหาร
ผมเคยเข้าไปซื้อปลาย่างในซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างไดมารูตอนบ่ายวันที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ ผมบอกให้เขาช่วยห่อให้ดี เพราะจะต้องนำกลับขึ้นเครื่องบินกลับไปกรุงเทพ
แม้ผมจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ และสุภาพสตรีพนักงานขายก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เธอก็คงจะเข้าใจความหมายที่ผมพยายามสื่อสาร เป็นเรื่องน่าฉงนมากที่พนักงานขายปฎิเสธที่จะขายปลาย่างให้ผม
ด้วยความสงสัย ผมก็พยายามถามเหตุผลด้วยความทุลักทุเล จนกระทั่งได้ความว่า ปลาจะต้องทานในวันนี้เท่านั้น
ผมก็จึงบอกเธอว่า จะทานในวันนี้ นั่นถึงทำให้เธอยอมขายปลาย่างให้ผม
ทำไมเธอจึงไม่ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวแบบเรา ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสกลับไปต่อว่าทางร้านได้เลย ไม่ว่าสินค้านั้นจะดีหรือไม่ จะเน่าเสียจนทานไม่ได้หรือไม่
สอบถามในภายหลังจึงทราบว่า พนักงานขายเกรงว่า อาหารที่ขายในห้างไดมารูของเธอจะไม่อร่อย เมื่อเอากลับไปทานที่ประเทศไทย หรือ อาหารอาจจะบูดเน่าเสียก่อนก็เป็นได้
นี่คือ ความซื่อสัตย์ของชาวญี่ปุ่น เขาไม่เห็นแก่เงินจนเกินการ หากการได้เงินจะทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน
ที่น่าฉงน และไม่เข้าใจคนญี่ปุ่นมากไปกว่านั้นก็คือ ระบบการคืนภาษี VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลยุทธในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของทุกประเทศ ทั้งในยุโรป และ เอเชีย
หลักการก็คือ นักท่องเที่ยวทุกคนได้รับสิทธิ์ไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซื้อสินค้าในประเทศที่ตนเองไปเที่ยว
แต่ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไร จึงจะแบ่งแยกได้ว่า นี่คือสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อ และนี่คือสินค้าที่ประชาชนซื้อ
ในประเทศยุโรป นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะซื้อนาฬิกา กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า ผู้ซื้อจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไปก่อน แล้วจึงค่อยไปรับเงินภาษีคืนภายในสนามบินภายหลัง
ขั้นตอนก็คือ นักท่องเที่ยวจะต้องเอาสินค้าที่ตนเองซื้อ ไปให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบว่าจะนำเอาของที่ซื้อนั้นออกไปนอกประเทศจริง เมื่อตรวจสอบแล้ว ก็จะต้องเอาสินค้านั้นๆในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วโหลดขึ้นเครื่องบินไปเลยต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศุลการกร
เพื่อว่าสินค้านั้นๆจะไม่ถูกนำกลับมาขายให้พลเมืองของประเทศนั้นอีกต่อหนึ่ง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ จะทำให้พลเมืองของประเทศนั้นๆ ไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผิดกันกับวิธีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 8 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ในไม่ช้า นั่นหมายความว่า นักท่องเที่ยวจะสามารถรับเงินภาษีคืนได้ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 เปอร์เซนต์ในอนาคต
เมื่อนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าแล้ว ก็สามารถเดินไปรับเงินภาษีคืนเป็นเงินสดได้เลยภายในบริเวณใกล้ๆกัน
และเมื่อไปถึงสนามบิน นักท่องเที่ยวก็ไม่ต้องเอาสินค้ามาแสดงให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรดูเพื่อยืนยันว่า จะนำเสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีออกนอกประเทศไปด้วย
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก หรือ เป็นเพราะคนญี่ปุ่นซื่อเกินไปหรือเปล่า
ผิดกันกับของยุโรปทุกประเทศ ที่หลังจากผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก บางครั้งคิวในการแสดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่สนามบินจะยาวมาก และมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรน้อยคนทำงาน(เหมือนไม่ต้องการจะคืนภาษี) นักท่องเที่ยวจำนวนมากจำต้องตัดสินใจทิ้งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนเองควรจะได้ไป เพราะกลัวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทัน
ซ้ำเมื่อผ่านเข้าไปภายในสนามบินเพื่อขอรับเงินสดคืนจากสำนักงาน TAX FREE ก็ปรากฏว่า ถูกหักค่าคอมมิชชั่นไปหลายเปอร์เซ็นต์อยู่
และบางครั้งเมื่อต้องต่อเครื่องบินตอนกลางคืน สำนักงาน TAX FREE มักจะปิด ทำให้ไม่สามารถรับเงินคืนได้ ต้องทิ้งในเสร็จเอกสารทั้งหลายไปเปล่าๆ ทั้งๆที่ผ่านขั้นตอนทางศุลกากรมาแล้ว
และในกรณีที่นักท่องเที่ยวต้องการจะให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ในรูปโอนเงินเข้าบัญชีบัตรเครดิต ก็ปรากฏว่า กว่าครึ่งไม่ได้รับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนแต่อย่างใด เสมือนกันปล้นเอาซึ่งๆหน้า
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศยุโรปที่เจริญแล้ว ประเทศที่มักจะเน้นย้ำเรื่อง ธรรมาภาบาล ชอบตรวจสอบประเทศอื่นๆว่าไม่โปร่งใส คอรัปชั่น ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯ
แต่เมื่อลองถามคนญี่ปุ่นว่า เขาไม่กลัวว่า คนญี่ปุ่นจะอาศัยช่องว่างของกฎหมายในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ซื้อของโดยไม่ต้องจ่ายภาษีแบบที่คนโกงสามารถคิดได้
คนญี่ปุ่นจะทำหน้างงๆ เหมือนไม่เข้าใจ แล้วถามกลับมาว่า
“ทำได้ด้วยเหรอ”
ตบหน้าชาวยุโรปที่อ้างตนว่ามีวัฒนธรรมสูงเสียฉาดใหญ่ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ