อันเนื่องจากมาจาก พระแสงดาบของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5(ตอน 2)

ซอกซอนตะลอนไป                 (5 มิถุนายน 2558 )

อันเนื่องจากมาจาก พระแสงดาบของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5(ตอน 2)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               การพบกันครั้งแรกของ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย  กับ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2434   แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของ รัชกาลที่ 5 ที่จะนำพาประเทศสยามให้อยู่รอดปลอดภัย

               รัชกาลที่ 5 ของเราทรงตระหนักดีถึงภัยคุกคามจากชาติตะวันตก  ที่จะอาศัยข้ออ้างบางประการในการเข้าบังคับ   เอาเปรียบ  และ ยึดครองประเทศสยาม  โดยเห็นได้จากการที่อังกฤษของพระนางวิคตอเรีย  บังคับให้จีน ของราชวงศ์ชิง โดยจักรพรรดิเต้า กวาง ทำสนธิสัญญานานกิง ในปีพ.ศ. 2385  หลังจากจบสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ไปแล้ว


(ภาพที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงฉายร่วมกับ พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซียในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในคราวเสด็จเยือนรัสเซีย)

               เป็นสนธิสัญญาที่อังกฤษ อาศัยกำลังอาวุธที่เหนือกว่าเอาเปรียบจีนอย่างสิ้นเชิง 

               หลังจากนั้น  ในปี พ.ศ. 2397 สหรัฐอเมริกาก็บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศด้วยการลงนามในสนธิสัญญาคะนะงะวะ โดยใช้สนธิสัญญานานกิง เป็นต้นแบบ


(ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ตอนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 แห่งรัสเซีย)

               พูดง่ายๆก็คือ  สหรัฐอเมริกาใช้กำลังอาวุธที่เหนือกว่าเอาเปรียบญี่ปุ่นอีกเช่นกัน   

               ถัดมาอีกปี คือในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398   อังกฤษ ก็บังคับให้ประเทศสยามต้องลงนามในสนธิสัญญาที่อังกฤษเอาเปรียบฝ่ายเดียว  ทั้งทางด้านการค้า  และ เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาวอังกฤษในประเทศสยาม  ที่เรียกว่า  สนธิสัญญาเบาริง  ที่ลงนามโดย นายจอห์น เบาริง ราชทูตของอังกฤษ


(โบสถ์หลั่งเลือด ในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก)

               เหตุการณ์นี้อยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4

               พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงทราบความเป็นไปของโลกตะวันเป็นอย่างดี   แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยศึกษาในต่างประเทศเลยก็ตาม  และรู้ว่า   พวกตะวันตกเป็นพวกที่ได้คืบจะเอาศอก  ด้วยการอ้างแม่น้ำทั้งห้า เพื่อจะยึดประเทศสยามอย่างชอบธรรม

               ถึงปัจจุบันนี้  ชาติตะวันตกทั้งหลายที่เคยตีกินประเทศตะวันออกอย่างไร   มันก็ยังประพฤติปฎิบัติแบบโจรปล้นแผ่นดินเหมือนเดิม  ไม่เคยเปลี่ยน

               ข้ออ้างที่ว่าก็คือ  เนื่องจากประเทศสยามยังล้าหลังมากๆ  ป่าเถื่อน  ทำให้ชาติตะวันตกจำต้องเข้ามาแทรกแซงและจัดระเบียบ   และเรื่องที่ชาติตะวันตกเหล่านี้จะอ้างก็คือ  เรื่องทาส หรือ ไพร่   เพราะจากข้อมูลที่ปรากฏ   ประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ 3  มีทาสมากถึง หนึ่งในสามของจำนวนประชากรทั้งหมด

               ก่อนหน้านั้น  พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 แห่งรัสเซีย  ซึ่งมีฐานะเป็นปู่ของพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย ได้ประกาศเลิกทาสในปีพ.ศ. 2404   และยังประกาศให้อิสรภาพแก่นักโทษการเมืองทุกคนด้วย

               ต่อมา  ในวันที่ 1 มกราคม ปีพ.ศ. 2406  ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเลิกทาสอย่างเป็นทางการ  เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองพอดี 

               สาเหตุสำคัญของสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา   ก็มาจากเรื่องทาสนั่นเอง 


(พระแสงดาบ 3 เล่ม ภาพ 2 ภาพ  และกระถางแจกันแบบจีน 1 กระถาง)

               ต่อมาในวันที่  13  มีนาคม ปีพ.ศ. 2424  หรือให้หลังจากที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 แห่งรัสเซีย ประกาศเลิกทาส 20 ปี   พระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยระเบิด  ตรงริมคลองด้านข้างของโบสถ์ ที่ปัจจุบันนี้เรียกขานกันว่า  โบสถ์หลั่งเลือด 

               ผมเชื่อว่า   ทุกเหตุการณ์อยู่ภายใต้การพิเคราะห์พิจารณาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ตลอดเวลา   นอกจากนี้  ด้วยแนวคิดของพระองค์ที่ต้องการปฎิรูประบบราชการให้ทันสมัย  และ ต้องการให้คนไทยทุกคนมีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

               พระองค์จึงมีพระประสงค์แน่วแน่ที่จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และ เสี่ยงอันตรายที่สุด  คือ  การเลิกทาส

               ตัวอย่างของสองประเทศก็มีให้เห็นแล้ว   ว่าหากดำเนินการเลิกทาสไม่ดี   อาจจะทำให้ประเทศไปสู่การจลาจลได้


(พระแสงดาบ หนึ่งในสามเล่ม)

               ดังนั้น   พระองค์ก็จึงทรงวางแผนดำเนินการณ์การเลิกทาสอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  และไม่สร้างความเสียหายแก่ประเทศสยาม   เหมือนกับที่เกิดแก่ประเทศทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้น 

               เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการออกประกาศให้มีการสำรวจจำนวนทาสทั้งประเทศ ในปีพ.ศ. 2417  โดยให้เจ้าของทาสแจ้งว่า  มีทาสจำนวนเท่าใด  และ ทาสที่จะครบกำหนดพ้นจากความเป็นทาสเมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใด

               และให้จดทะเบียนทาสที่เกิดในปีพ.ศ. 2411 เป็นต้นมาด้วย  เพราะปีพ.ศ. 2411 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงขึ้นครองราช  

               ทั้งนี้เพื่อเตรียมการที่จะเลิกทาสของทาสที่เกิดในปีนี้ทุกคน

               และได้มีประกาศพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรลูกทาสในปีพ.ศ. 2417 ด้วย   โดยเนื้อหาหลักๆก็คือ   ค่อยๆปลดบุคคลที่เป็นทาส  ออกจากความเป็นทาสตามลำดับเวลา   และห้ามไม่ให้เอาทาสที่พ้นจากความเป็นทาสกลับมาเป็นทาสใหม่อีกครั้ง


(พระแสงดาบ ที่เป็นศิลปะของทางใต้ของประเทศไทย)

               และห้ามไม่ให้นำเด็กที่เกิดตั้งแต่ปีพ.ศ. 2411 เป็นต้นมา ไปขายเป็นทาสเป็นอันขาด   หากบิดามารดาของเด็กที่แจ้งเท็จว่าเด็กเกิดก่อนปีพ.ศ. 2411 ทั้งๆที่เกิดหลังปีพ.ศ. 2411  เพื่อจะสามารถเอาไปขายเป็นทาสได้    จะต้องถูกลงโทษ

               ทรงจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ แทนที่จะพระราชทานไพร่ เป็นต้น    

               จะเห็นว่า   เป็นขั้นเป็นตอน  อย่างอะลุ้มอะล่วย  และ ค่อยเป็นค่อยไป   จากนั้นก็ประกาศเลิกทาสในมณฑลต่างๆทีละมณฑล เป็นลำดับ  จนในที่สุด วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออก “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124 “  ทำให้ทาสทุกคนเป็นไท แต่นั้นมา    

               ด้วยเหตุนี้   ปวงชนชาวไทยจึงได้ร่วมกันถวายพระนามพระองค์ว่า “ พระปิยมหาราช”

               การได้มีโอกาสชมพระแสงดาบ 3 เล่มของ “พระปิยมหาราช” ที่พระราชทานให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย เมื่อ 118 ปีที่แล้วอย่างใกล้ชิด   จึงเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์จริงๆ

               ผมถึงได้เริ่มบทความนี้ว่า  เป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ไงครับ  

               ตอนหน้าผมจะพูดถึง  พิพิธภัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ ครับ  พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *