ซอกซอนตะลอนไป (19 มิถุนายน 2558)
อันเนื่องจากมาจาก พระแสงดาบของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5(ตอนจบ)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เมื่อเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์คุนส์ตคาเมอรา พาคณะนักท่องเที่ยวของทีวี “ฟ้าวันใหม่” ที่ร่วมกับ บริษัท ไวท์ เอเลแฟนท์ ทราเวล เอเยนซี่ จำกัด เข้าไปในห้องรับรอง สิ่งแรกที่เราเห็นก็คือ โต๊ะขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง
บนโต๊ะมีกล่องที่บรรจุพระแสงดาบของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัววางเปิดอยู่ 3 กล่อง มีกระถางแจกันแบบจีนอีกกระถางหนึ่ง และ ภาพถ่าย 2 ภาพ
มาดามอีวานโนว่า ได้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวเนื่องกับพระแสงดาบทั้งสามเล่มนี้ว่า พระแสงดาบเล่มแรก เป็นศิลปะของภาคกลางของประเทศสยาม พระแสงดาบเล่มที่สองเป็นศิลปะของภาคใต้ของประเทศสยาม ส่วนพระแสงดาบเล่มที่สาม เป็นศิลปะของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสยาม
พระแสงดาบทั้งสามเล่มหุ้มทองคำสวยงาม และ มีลวดลายที่ละเอียด แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็มีร่องรอยของการชำรุดสึกหรอให้เห็น แม้ว่าเจ้าหน้าของพิพิธภัณฑ์จะดูและเป็นอย่างดีก็ตาม
เมื่อจะจับต้องพระแสงดาบทุกครั้ง ยังต้องใส่ถุงมือผ้าเพื่อป้องกันด้วยซ้ำ
ในความคิดของผม ก็น่าที่กระทรวงวัฒนธรรมของไทยจะยื่นมือเข้าไปเพื่อเสนอความช่วยเหลือในการบูรณะพระแสงดาบทั้งสามเล่มนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้
ผมมาคิดเอาเองว่า พระแสงดาบทั้งสามเล่ม และ กระถางแจกัน ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่2 ของรัสเซีย นั้น น่าจะต้องมีนัยยะความหมายอะไรบางอย่างแฝงอยู่
พระแสงดาบเล่มแรก ที่เป็นศิลปะของประเทศสยามภาคกลางนั้น คงจะหมายถึง ตัวแทนของพระนคร อันเป็นศูนย์กลางการปกครองของสยามประเทศ
พระแสงดาบเล่มที่สอง เป็นศิลปะของภาคใต้ของประเทศสยาม เรียกจำเพาะลงไปว่า กริช ซึ่งแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังพบเห็นได้ทั่วไปในภาคใต้ของไทย
ล้นเกล้ารัชการที่ 5 ทรงมอบพระแสงดาบที่เป็นศิลปะของภาคใต้ให้แก่พระเจ้าซาร์ ก็คงต้องการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของศิลปะของแต่ละท้องถิ่นของประเทศสยาม
น่าเสียดายว่า สยามประเทศต้องสูญเสียดินแดนทางภาคใต้อันประกอบด้วย รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และ ปะริส ให้แก่อังกฤษเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปีพ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นครั้งที่ 13 ของการเสียดินแดนของไทย เพื่อแลกกับอำนาจของศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในสยามประเทศ
พระแสงดาบเล่มที่สาม ตามที่มาดาม อิวานโนว่า เล่ามาว่าเป็นศิลปะของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ก็น่าจะหมายถึง ดินแดนประเทศลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยาม
แต่เมื่อไล่ดูลำดับเวลาแล้วก็พบว่า การเสียดินแดนของประเทศไทยจากทั้งหมดจำนวน 14 ครั้งนั้น การเสียดินแดนครั้งที่ 10 ซึ่งทำให้ประเทศสยามต้องสูญเสียอาณาจักรล้านช้าง หรือ ประเทศลาวในปัจจุบันให้แก่ฝรั่งเศสนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปีพ.ศ. 2436
แต่การเสด็จประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. 2440 นั่นหมายความว่า หลังจากที่สูญเสียอาณาจักรล้านช้างไปแล้ว
ดังนั้น พระแสงดาบเล่มนี้ อาจไม่ใช่ศิลปะของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยก็ได้ แต่อาจจะหมายถึง ศิลปะของดินแดนมณฑลบูรพา ที่รวมถึง พระตะบอง เสียมราฐ และ ศรีโสภณ ที่ประเทศสยามต้องเสียให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ปีพ.ศ. 2449 เพื่อแลกกับ ตราด เกาะกง ด้านซ้าย และ อำนาจของศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในสยาม
เป็นแนวคิดของผมเอง ผิดถูกอย่างไรก็ช่วยการตรวจสอบดูนะครับ
เมื่ออ่านดูประวัติศาสตร์การเสียดินแดนของเราแล้ว อดไม่ได้ที่จะ “ของขึ้น” และเห็นถึงความเลวของประเทศตะวันตกที่เข้ามาเอาเปรียบประเทศไทย ด้วยการเอาอาวุธที่ทันสมัยกว่ามาข่มขู่
แม้จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการให้แยบยลกว่าเดิม
สุดท้ายก็คือ กระถางแจกันลวดลายจีน ซึ่งน่าจะหมายถึงชุมชนชาวจีนที่อาศัยอยู่ในเขตสำเพ็งนั่นเอง
เพราะล้นเกล้ารัชการที่ 5 ทรงเมตตาต่อชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยเดิมจากบริเวณท่าเตียน ไปอยู่บริเวณคลองวัดสามปลื้ม ไปจนถึง คลองวัดสำเพ็ง
สำเพ็งมีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยของรัชกาลที่ 4 เพราะมีการทำการค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นแหล่งแออัด เพราะบ้านเรือนปลูกชิดติดกันจนแน่นไปหมด จนมีคำกล่าวว่า “ไก่บินไม่ตกพื้น”
ต่อมา พระพุทธเจ้าเหลวง จึงโปรดให้ตัดถนนผ่าเข้าไปตรงกลางสำเพ็งหลายสาย และโปรดให้สร้างอาคารบ้านเรือนทรงฝรั่ง เพื่อให้เป็นที่ค้าขายของชาวบ้านแถบนี้ อันเป็นประโยชน์มาจนทุกวันนี้
เรื่องราวของพระแสงดาบของล้นเกล้าราชการที่ 5 ที่พระราชทานให้แก่พระเจ้าซาร์ และไปอยู่อย่างมิดชิดในประเทศรัสเซียมาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี ก็ได้เปิดเผยให้เราคนไทยได้ชื่นชมเป็นบุญตา
ผมถึงได้เปิดเรื่องตั้งแต่ตอนที่ 1 ว่า สงกรานต์ปีนี้ เป็นปีที่ดีมากของผมไงครับ สวัสดี