ซอกซอนตะลอนไป (26 ธันวาคม 2557)
เมื่อดวงชะตาชักนำให้มาพบกับอาจารย์เจี่ย แยนจอง(ตอน 2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ผมถามอาจารย์เจี่ย แยนจอง ในค่ำของวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ตอนทานอาหารกันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในนครคุนหมิงว่า อาจารย์จำวันเกิดของตัวเองได้หรือไม่
อาจารย์ตอบว่า เกิดปีค.ศ. 1930 แต่วันที่ และ เดือนจำได้เป็นแบบปฎิทินจีน เลยไม่แน่ใจว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ของปฎิทินสากล เรื่องจะหาเวลาเกิดที่ถูกต้องเป็นชั่วโมงนาทีก็แทบไม่ต้องพูดถึงเลย
ที่ผมถามก็เพราะอยากดูดวงชะตาตามหลักวิชาโหราศาสตร์ภารตะว่า ดวงดาวแบบไหนจึงทำให้ชีวิตของอาจารย์เจี่ย พลิกผันหักเหได้มากขนาดนี้
อาจารย์เจี่ย เดินทางไปเรียนหนังสือที่กวางโจวในปีพ.ศ. 2491 โดยเดินทางเข้าประเทศจีนผ่านทางฮ่องกง ขณะนั้น คนไทยเชื้อสายจีนนิยมไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีนกันมาก ด้วยหวังว่า ลูกหลานของตัวเองจะได้ไม่ลืมกำพืดความเป็นคนจีนของเผ่าพันธุ์
แต่การเดินทางเข้าฮ่องกง กลายเป็นพรหมลิขิตที่หักเหของอาจารย์เจี่ย ไปในที่สุด
ปีถัดมา กองทัพคอมมิวนิสต์สามารถยึดอำนาจการปกครองประเทศได้ เจียง ไคเช็ค นำกองทัพของตนเองหนีไปตั้งรกรากที่ไต้หวัน
ทางเลือกของอาจารย์เจี่ย มีสองทางก็คือ จะเดินทางกลับไทย หรือ จะเรียนหนังสือต่อที่ประเทศจีน
ปัญหาก็คือ พาสปอร์ตของอาจารย์ถูกกองตรวจคนเข้าเมืองของฮ่องกงยึดไป เพราะไม่มีวีซ่าเข้าฮ่องกง โดยเจ้าหน้าที่บอกว่า ตอนจะเดินทางกลับประเทศไทยค่อยมาเอา
สำหรับวัยรุ่นอายุ 18 ปีซึ่งเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก คงไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพาสปอร์ตเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่า ตอนจะออกจากประเทศจีนค่อยไปเอาพาสปอร์ตคืนก็ได้
และที่สำคัญก็คือ ยังไม่เคยมีมนุษย์คนไหนเคยมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบเสรีประชาธิปไตย มาสู่ระบบคอมมิวนิสต์ และจะว่าไป ก็คงยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ระบบคอมมิวนิสต์เป็นอย่างไร
อาจารย์เจี่ย จึงเลือกที่จะเรียนหนังสือต่อในจีน
ปีถัดมา (ปีพ.ศ. 2493) อาจารย์ได้ร่วมเป็นทหารของกองทัพคอมมิวนิสต์ ขึ้นรถไฟจากกวางโจว ไปกวางสี แล้วเดินเท้าต่ออีกประมาณ 1000 กิโลเมตรไปยังคุนหมิง โดยมีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยคุนหมิง
พรหมลิขิตหักเหอีกครั้ง เมื่ออาจารย์เจี่ย ถูกลงโทษ ให้ไปทำงานในชนบทเพื่อเรียนรู้ชีวิตของชาวนาที่เมืองซือเหมา ที่อยู่ห่างจากคุนหมิงลงไปทางตะวันตกฉียงใต้อีกหลายร้อยกิโลเมตร (ผมจะไม่พูดถึงข้อหาในการลงโทษครับ)
จากเมืองซือเหมาไปอีกไม่ถึง 200 กิโลเมตร ก็คือ เมืองจิ่งหง ที่คนไทยเรียกว่า เชียงรุ่ง หรือ เมืองซีซวงปั่นน่า ที่คนไทยเรียกว่า สิบสองปันนา
การได้เดินทางไปเมืองเชียงรุ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้อาจารย์เจี่ย ได้ค้นพบตัวเองอีกครั้งในตอนอายุ 22 ปี
ภาษาพูดคำแรกที่ทำให้อาจารย์เจี่ย สามารถขอข้าวชาวสิบสองปันนา ซึ่งเป็นชาวไทลื้อ กินได้ก็คือ ภาษาปักษ์ใต้ ซึ่งทำให้อาจารย์เจี่ย สันนิษฐานว่า ภาษาปักษ์ใต้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากภาษาไทลื้อที่ชาวไทลื้อสิบสองปันนา นำลงมาแพร่หลาย
ด้วยพื้นฐานทางด้านภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาไทยปักษ์ใต้ มากกว่าภาษาจีน และ ความใส่ใจศึกษาภาษา และ วัฒนธรรมไทลือ และการเป็นผู้มีอัธยาศัยใจคอที่ดี ชอบช่วยเหลือคน และเป็นมิตรกับคนง่าย ทำให้อาจารย์เจี่ย เป็นมิตรที่ดียิ่งของชาวไทลื้อ สามารถขอข้าวขอน้ำ และขอนอนพักตามบ้านชาวบ้านทั่วไปได้อย่างเป็นกันเอง
ในที่สุด อาจารย์เจี่ย แยนจอง ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไทลื้อของประเทศจีน
คืนนั้น เราสามคน คือ อาจารย์เจี่ย แยนจอง และ เฉิน เทา หรือ ชื่อไทยว่า เจษฎา ผู้เป็นเจ้าของกิจการท่องเที่ยวบริษัทหนึ่งของเมืองคุนหมิง และผม ก็ได้ทานอาหารค่ำร่วมกัน ในภัตตาคารที่หรูหราพอสมควร แบบที่ถ้าเป็นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมคงไม่กล้าคิดว่าจะมีได้ในประเทศจีน
เฉิน เทา ถือเป็นผลผลิตชุดสุดท้ายของจีน ในยุคสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาทำสงครามในอินโดจีน เป็นไกด์รุ่นหลังของ หมอหวัง จิ้ง ลี่ , เฉา หมิง จง ซึ่งปัจจุบันนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางด้านการศึกษาในเมืองคุนหมิง , อาจารย์หยาง ซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยในสถาบันชนกลุ่มน้อยของคุนหมิง และดูเหมือนว่าจะได้รับตำแหน่งคณบดีของมหาวิทยาลัยชนกลุ่มน้อยไปแล้ว
อีกคนก็คือ หนิว ซือ หยวน หรือ อาหนิว ซึ่งปัจจุบันได้แต่งงานกับสาวไทย เป็นเปิดทำธุรกิจทัวร์ในประเทศไทยแล้ว ซึ่งคนทั้งหมดเหล่านี้ล้วยเคยช่วยผมทำงานเป็นไกด์ให้แก่นักท่องเที่ยวของ บริษัท ไวท์ เอเลแฟนท์ ทราเวล เอเยนซี่ จำกัดทั้งนั้น
คนเหล่านี้ได้รับการศึกษาวิชาภาษาไทยในคุนหมิง เพื่อเตรียมที่จะส่งออกไปเป็นล่าม หรือ ผู้แปล ให้แก่กองทัพของจีนในการเดินทางเข้ามาปฎิบัติการในแถบภูมิภาคอินโดจีน เช่น ลาว , เขมร , เวียตนาม และ ไทย
แต่โชคดีที่สงครามในอินโดจีนสงบลงเสียก่อน คนเหล่านี้จึงไม่ได้เข้าร่วมในการปฎิบัติการทางทหาร แต่หันมาปฎิบัติการทางการท่องเที่ยวแทน
เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ในที่สุด ผมก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟังว่า พรหมลิขิตหักเหอย่างไรที่ทำให้ผมได้มาพบอาจารย์เจี่ย แยนจอง ในประเทศจีน
พบกันใหม่ตอนหน้าครับ