ซอกซอนตะลอนไป (17 เมษายน 2558 )
เมื่ออาทิตย์ส่องผ่าน 15 ช่องประตู กับ จันทรคราส(ตอน 2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
แนวคิดแบบเดียวกันกับ พระอาทิตย์ส่องแสงผ่าน 15 ช่องประตูนั้น มิใช่เพิ่จะมาเกิดขึ้นกับสถาปัตยกรรมการสร้างวิหารของฮินดูเท่านั้น แต่ได้เกิดขึ้นมาเมื่อกว่า 3200 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อยในประเทศอียิปต์โบราณ
เพียงแต่ของอียิปต์จะแตกต่างจากของปราสาทหินพนมรุ้งตรงที่ แสงอาทิตย์จะส่องผ่านเพียงแค่ 4ประตูเท่านั้น
วิหารที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ วิหารอาบู(ABU SIMBEL TEMPLE) ซิมเบล ที่ฟาโรห์ รามเซส ที่ 2(RAMSES II) ได้โปรดให้สร้างขึ้น
อาบู ซิมเบล เป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ทางภาคใต้สุดของประเทศอียิปต์ ชื่อของวิหารก็มาจากชื่อของหมู่บ้านนี่เอง วิหารหลังนี้เป็นศิลปะแบบ ขุดเข้าไปในภูเขา (ROCK CUTED TEMPLE)
ตัววิหารตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ด้านทิศตะวันตก ดังนั้น ตัววิหารจึงหันหน้ารับแสงอาทิตย์ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
เมื่อแรกสร้าง วิหารนี้เคยอยู่ริมแม่น้ำ แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนใหญ่แห่งเมืองอัสวานเมื่อประมาณเกือบ 50 ปีที่แล้ว ระดับน้ำเหนือเขื่อนก็ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
จึงมีการย้ายวิหารทั้งสองหลังขึ้นมาให้สูงขึ้นจากเดิมประมาณ 50 – 60 เมตร ด้วยการตัดวิหารออกเป็นชิ้นๆแล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่ในโดมจำลองที่ทำเลียนแบบภูเขา เพื่อว่า วิหารทั้งสองหลังจะได้ไม่ถูกน้ำท่วมเสียหาย
วิหารอาบู ซิมเบล สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้า ราฮอรัคติ(RA HORAKHTY) หรือ สุริยเทพ และ เทพเจ้าอามุนรา(AMUN RA) ซึ่งก็คือ สุริยเทพในอีกชื่อหนึ่ง และ เทพเจ้าปตาห์(PTAH) เทพเจ้าแห่งเมืองเมมฟิส เมืองโบราณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิที่สุดของอียิปต์โบราณ
ทุกๆปีในราววันที่ 21 กุมภาพันธ์ และ 21 ตุลาคม จะมีนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก เดินทางไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ธรรมชาติของพระอาทิตย์ที่วิหารหลังนี้
ปรากฎการณ์ที่ว่านี้ก็คือ การที่ลำแสงของพระอาทิตย์ตอนรุ่งอรุณ จะส่องผ่านประตูบานแรกของวิหารเข้าไป ผ่านช่องประตูทีละประตูจนกระทั่งแสงของพระอาทิตย์จะไปฉาบฉายอยู่บนผนังห้องสุดท้ายของวิหาร
ห้องสุดท้ายของวิหาร ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า HOLY OF THE HOLIES ที่ปกติจะเป็นห้องที่มืดมิดที่สุดในวิหาร
ในห้องนี้ โดยทั่วไปจะมีรูปเคารพของเทพเจ้าที่เป็นเจ้าของวิหาร หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ประดิษฐานอยู่ภายในเรือที่ทำด้วยไม้วางอยู่บนแท่นที่ทำด้วยหินแกรนิตกลางห้อง
นับเป็นภูมิปัญญาของคนในยุคเมื่อ 3 พันปีเศษโดยแท้ เพราะหากองศาของประตูคลาดเคลื่อนไปไม่กี่องศา ปรากฏการณ์นี้ก็จะไม่เกิด
เพราะดูเหมือนว่า หลังจากที่นักโบราณคดีสมัยใหม่ ได้ย้ายวิหารทั้งหลังให้พ้นจากน้ำท่วมขึ้นมาเรียบร้อยในปีพ.ศ. 2511 ปรากฏว่า แกนของวิหารเคลื่อนไปจากเดิมเล็กน้อย ทำให้ปรากฏการที่พระอาทิตย์ส่องแสงเข้าไปถึงผนังห้องสุดท้ายเร็วขึ้นมาจากเดิม 1 วันกลายเป็นวันที่ 21 ของเดือนกุมภาพันธ์ และ 21 ของเดือนตุลาคม ของทุกปี
แต่ที่โดดเด่น และน่าทึ่งกว่านั้นก็คือ บนผนังห้องสุดท้ายของวิหาร จะปรากฏรูปสลัก 4 องค์นั่งเรียงชิดติดกันแบบไหล่ชนไหล่
จากขวามือสุด ก็คือ เทพรา ฮอรัคตี เทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่วิหารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายให้ ถัดมาก็คือ ฟาโรห์ รามเซส ที่ 2 ผู้สร้างวิหารหลังนี้
องค์ที่ 3 ก็คือ เทพอามุน รา เทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ แต่เป็นอีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชนในเมืองธีบส์ หรือ ประมาณเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน
องค์ที่ 4 ซึ่งอยู่ซ้ายมือสุดก็คือ เทพปทาห์ เทพเจ้าแห่งเมืองเมมฟิส เมืองโบราณอายุกว่า 5-6 พันปี ที่อยู่ใกล้ไคโร
แสงของพระอาทิตย์ยามเช้าจะส่องตรงไปยังผนังห้องชั้นในสุด จับต้องที่รูปสลักที่นั่งเรียงรายกัน เพียงปีละ 2 ครั้ง
ที่น่าสนใจก็คือ แสงพระอาทิตย์จะจับต้องเพียงรูปสลัก 3 องค์ขวามือเท่านั้น ส่วนองค์ที่ 4 ที่อยู่ซ้ายมือสุดนั้นจะไม่โดนแสงของพระอาทิตย์
ทำไม
ไม่รู้ว่าจะด้วยความจงใจ หรือ เหตุบังเอิญก็ตามที การที่แสงอาทิตย์ ไม่ตกต้องรูปสลักองค์ซ้ายมือสุด เพราะ เทพปตาห์ เป็นเทพเจ้าแห่งความมืด เป็นเทพเจ้าแห่งคนตาย
จึงไม่จำเป็นจะต้องได้รับแสงของพระอาทิตย์
น่าทึ่งไม่น้อยไปกว่าแสงของพระอาทิตย์ส่องผ่าน 15 ช่องประตูเข้าไปถูกศิวะลึงก์ ในวิหารของศาสนาฮินดูเลยทีเดียว