ลาตา มังเกชการ์ นกไนติงเกลที่หายไปในท้องฟ้า

ซอกซอนตะลอนไป                              (13 กุมภาพันธ์ 2565) 

ลาตา มังเกชการ์ นกไนติงเกลที่หายไปในท้องฟ้า

โดย                             เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565 ตามความเชื่อของชาวฮินดู ตรงกับวัน สรัสวาตี บูชา ซึ่งก็คือ การบูชาต่อพระแม่สรัสวาตี  เทพีแห่ง ภูมิปัญญา  การเรียนรู้  ศิลปะ  และ ดนตรี

               ทุกปีในวันนี้ นักเรียนนักศึกษาของอินเดีย มักจะต้องบูชาต่อพระแม่เพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จในการเรียน  ที่สำคัญก็คือ  ต้องสอบให้ผ่านนั่นเอง


(วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565 ตามปฎิทินปัญจางของฮินดูระบุว่าเป็น วันปัญจามิ ศุกรา หรือ ขึ้น 5 ค่ำ เป็นวันสรัสวาตี บูชา – ภาพจากกูเกิ้ล)

               ส่วนใหญ่  แต่ละบ้านมักจะหาซื้อรูปเคารพของพระแม่สรัสวาตี มาบูชาในบ้าน  ส่วนรูปเคารพองค์เก่าของปีที่แล้วจะถูกนำไปวางใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือไม่ก็เอาไปลอยในแม่น้ำ

               ในวันนี้  ชาวฮินดูมักจะเคร่งครัดต่อตนเองด้วยการรับประทานอาหารมังสวิรัติ เพื่อเป็นการถวายบูชาแด่พระแม่

               แต่เมื่อข้ามมาถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565  ชาวอินเดียก็ต้องโศกเศร้าครั้งใหญ่อีกครั้งต่อการจากไปของ ลาตา มังเกชการ์  นักร้องเสียงโซปราโน(SOPRANO) สามารถร้องในระดับเสียงที่แตกต่างกันถึง 4 อ๊อคเตป(OCTAVES)  จนได้รับการยกย่องว่า  เป็นนกไนติงเกลแห่งอินเดีย


(ลาตา (ขวา) กับ อัชชา มังเกชการ์ (ซ้าย) พี่น้องศิลปินนักร้องของอินเดีย มีข่าวว่า อัชชา ล้มป่วยหนักหลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของพี่สาวของเธอ – ภาพจากกูเกิ้ล)

               เธอเข้าโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2565 ด้วยอาการติดเชื้อโควิด 19 และรักษาตัวในโรงพยาบาลมาตลอดจะถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์  แล้วเธอจากไปขณะอายุ 92 ปี  ทิ้งผลงานเพลงที่แสนไพเราะมากกว่า 3 หมื่นเพลงเอาไว้ข้างหลัง  จนได้รับการบันทึกจากกินเนสส์ บุ๊ค  ว่าเป็นนักร้องผู้มีผลงานมากที่สุด

               เธอเกิดในครอบครัววรรณะพราหมณ์  บิดาชอบร้องเพลง และทำงานในแวดวงการแสดงตลอด    ขณะอายุเพียง 5 ขวบ  เธอก็ร่วมแสดงละครเพลงของบิดาของเธอแล้ว 

เธอเข้าสู่วงการเพลงอย่างจริงจัง ด้วยการเริ่มต้นร้องเพลงประกอบภาพยนต์เป็นครั้งแรกขณะอายุ 12 ปีเท่านั้น  แต่เพลงดังกล่าวถูกตัดออกไปจากภาพยนต์เสียก่อน

               บิดาของเธอเสียชีวิตอย่างกระทันหันในปีถัดมา   ครูวินายัก(MASTER VINAYAK) ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทภาพยนต์ และเป็นเพื่อนสนิทของบิดา  จึงรับช่วงในการสนับสนุนเธอ และ  อัชชา (ASHA) น้องสาวของเธอให้เป็นนักแสดง  และ  ร้องเพลงประกอบภาพยนต์ต่อไป


(กูแลม ไฮเด ผู้เห็นแววนักร้องดังในตัว ลาตา มังเกชการ์ – ภาพจากกูเกิ้ล)  

               แต่เส้นทางอาชีพของเธอมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ  เพราะเธอถูกวิจารณ์จากเจ้าของบริษัทภาพยนต์รายหนึ่งว่า  “เสียงร้องของเธอ บางเกินไป”  ทำให้มีผลกระทบต่องานของเธอ

แต่ครูเพลง และ ผู้กำกับฝ่ายดนตรี ที่ชื่อ  กูแลม ไฮเด (GHULAM HAIDE) ไม่คิดเช่นนั้น  และ มอบบทเพลงชื่อ DIL MERA TODAA , MUJHE KAHIN KA NA CHHORA ให้เธอขับร้อง

               ที่น่าทึ่งก็คือ  นายกูแลม ไฮเด ได้บอกว่า  ในอนาคต  เจ้าของภาพยนต์จะต้องมาคุกเข่าต่อหน้าเธอ เพื่อขอร้องให้เธอร้องเพลงในภาพยนต์ของพวกเขา

(คลิปวิดิโอ ที่ลาตา มังเกชการ์ โชว์พลังเสียงสุดยอดแม้จะสูงวัยแล้ว  ด้วยการขับร้องเพลงประจำชาติ (NATIONAL SONG) (ไม่ใช่เพลงชาติ) ที่มีชื่อว่า VANDE MATRAM  ที่แปลว่า  ข้าขอคาระวะต่อแผ่นดินแม่  ประมาณนี้)   

               การณ์เป็นไปตามที่นายกูแลมได้ทำนายไว้

               ลาตา มังเกชการ์ เป็นนักร้องคนแรกของอินเดียที่ขับร้องเพลงเพื่อให้นักแสดงไปลิปซิงก์ตอนถ่ายทำภาพยนต์ ที่เรียกว่า PLAYBACK SINGER  ดาราหญิงผู้มีชื่อเสียงในวงการแทบทุกคนจะต้องใช้เสียงของเธอในการขับร้องเพลงในภาพยนต์ทั้งนั้น


(ทราเมนดรา ในภาพยนต์เรื่อง โชเลย์ – ภาพจากคลิปวิดีโอภาพยนต์เรื่อง โชเล่ย์)

               อาทิเช่น  เฮม่า มาลินี(HEMA MALINI)  ในภาพยนต์เรื่อง โชเล่ย์ (SHOLAY) ที่ทราเมนดรา(DHRAMENDRA) แสดงร่วมกับ อามิตาป ปัจจัน  ต่อมา  เฮม่า มาลินี ก็แต่งงานกับ ทราเมนดรา หลังจากจบภาพยนต์เรื่องนี้แล้ว 

               ผมได้นำเอาลิงค์ของฉากหนึ่งในภาพยนต์เรื่อง โชเลย์ ที่มีเพลงของ ลาตา มังเกชการ์ มาให้ท่านผู้อ่านได้ชมครับ  

               หรือแม้แต่  ดาราสุดเซ็กซี่ของอินเดียอย่าง ดิมเพิล คาปาเดีย(DIMPLE KAPADIA) ที่ถูกกล่าวขวัญอย่างมากเมื่อเธอแสดงภาพยนต์เรื่อง BOBBY  คู่กับ  ริชชี คาปูร์ 

               ที่ว่าเซ็กซี่ ก็เพราะในภาพยนต์เรื่องนี้  เธอแต่งกายด้วยกระโปรง หรือ กางเกง สั้นเหนือเข่า  และ  เสื้อไม่มีแขนเท่านั้น  แต่ก็หนักหนามากสำหรับจริยธรรมของชาวอินเดียในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 จนทำให้ภาพยนต์เรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในระดับผู้ชมอายุต้องมากกว่า 18 ปีเท่านั้น  

เมื่อราเยส คันนา ตกลงที่จะแต่งงานกับเธอ เขาต้องกวาดซื้อฟิล์มภาพยนต์เรื่องนี้ทั้งหมดไปเก็บเพื่อไม่ให้มีการฉายอีกต่อไป


(ดิมเพิล (คนขวา) กับลูกสาว ทวิงเคิล คันนา (คนซ้าย) กับ พระเอกอัคชัย กุมาร- ภาพจากวิกิพีเดีย)

               กระนั้นก็ตาม  ความรักระหว่าง ราเยส คันนา กับ ดิทเพิล คาปาเดีย ก็ไม่ตลอดรอดฝั่ง  ต้องเลิกรากันไปในปีค.ศ. 1982  โดยมีลูกสาวร่วมกันหนึ่งคนชื่อทวิงเคิล  ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของดาราดังอย่าง อัคชัย กุมาร ที่ผมเขียนถึงเมื่อหลายตอนก่อน

               พิธีศพของ ลาตา มังเกชการ์ ถูกจัดอย่างสมเกียรติที่สุดในเมือง มุมไบ มีดารานักร้องนักแสดงจำนวนมากมาร่วมพิธี  มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนที่รักเธอได้ร่วมไว้อาลัย

(นาย นเรนทรา โมดี มาร่วมในพิธีศพของ ลาตา มังเกชการ์  นายกรัฐมนตรีโมดี แสดงการคาระวะต่อเธออย่างสูงสุดต้องการโค้งตัวพนมมือไหว้ต่อสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ผลงานที่น่ายกย่องมาก -ภาพจากทีวีที่ถ่ายทอดพิธี)

               แม้กระทั่ง นายกรัฐมนตรี  นเรนทรา โมดี  ก็ยังไปร่วมในพิธีศพด้วย

               ว่ากันว่า  พระแม่สรัสวาตี  เทพีแห่งดนตรี  เป็นผู้มารับเธอไปอยู่ด้วย  เพราะเธอจากไปหลังจากวันสราวาตี บูชา เพียงวันเดียว

               ลาก่อน  นักร้องเสียงไนติงเกลที่ไม่มีใครเลียนแบบได้

               พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .