สัพเพเหระ
หนังอินเดียที่ผมรัก (ตอน 1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ในช่วงที่กระแสภาพยนต์อินเดียกำลังกลับมาแรงอีกครั้ง ภาพยนต์เรื่อง GANGUBAI KATIAWADI ก็กลายเป็นที่กล่าวขานกันอย่างกว้างขวางในแวดวงโซเชียล
มีแฟนๆบทความของผมหลายท่านอยากให้ผมเขียนถึงภาพยนต์เรื่องนี้ และ ภาพยนต์เรื่องอื่นๆของอินเดียด้วย

(โฆษณาภาพยนต์เรื่อง กังกุไบ)
ในฐานะที่เคยเป็นผู้เขียนวิจารณ์ภาพยนต์ในหนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” ในช่วงปีพ.ศ.2516 – 2517 ก็อยากจะถ่ายทอดมุมมองของผมต่อภาพยนต์อินเดียโดยภาพรวม และ ต่อภาพยนต์อินเดียที่ผมรักอีกหลายๆเรื่องแบบนักวิจารณ์ภาพยนต์ครับ
วันนี้ อุตสาหกรรมภาพยนต์ของอินเดียอาจเรียกได้ว่า ก้าวล้ำนำหน้ากว่าชาติใดๆในเอเชียไปแล้ว ทั้งในแง่ของเท็คนิค การเราเรื่องด้วยภาพ และ การตัดต่อ
ไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์ประเภทแอ็คชั่น หรือ ประเภทศิลปะ ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาพยนต์ประเภทร้องเพลงวิ่งไล่กันบนท้องทุ่งค่อยๆลดน้อยไป แต่การสอดแทรกบทเพลงก็ยังมีอยู่บ้างมากน้อยแตกต่างกันไป
พูดกันตามตรง ผมเองรู้สึกเฉยๆกับภาพยนต์เรื่อง GANGUBAI KATIAWADI เพียงแต่ชอบภาพยนต์เรื่องนี้ในแง่ของ การถ่ายทำ การจัดแสง เท่านั้น เพราะเขาลงทุนสร้างฉากถนนสายโลกีย์ขึ้นมาเพื่อการถ่ายทำโดยเฉพาะ จึงสามารถจัดแสงให้ได้ภาพออกมาสวยงามสมจริงตามช่วงเวลาต่างๆของวันตามท้องเรื่อง

(โฆษณาของภาพยนต์เรื่อง THE LUNCH BOX)
ก่อนหน้านี้สัก 5-6 ปี ผมเคยประทับใจกับภาพยนต์เรื่อง THE LUNCH BOX ที่นำแสดงโดยเออร์ฟาน ข่าน ทั้งๆที่เป็นภาพยนต์ต้นทุนต่ำ แสดงกันเพียง 3 คน และถ่ายทำกันในฉากเพียงสองสามฉากเท่านั้น
แต่ภาพยนต์เรื่องนี้สามารถสะกดคนดูให้ติดตามไปได้เรื่อยๆ และ ต้องคิดตามว่าจะเกิดอะไรต่อไป
ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างโดยใช้เรื่องจริงของระบบการส่งปิ่นโตอาหารกลางวันของเมืองมุมไบเป็นฉากหลัง ซึ่งเป็นมหัศจรรย์แห่งระบบลอจิสติคส์ ของอินเดียที่ทำกันมานานหลายสิบปี แต่ละวันจะมีปิ่นโตที่จะต้องส่งนับแสนปิ่นโต และไม่เคยส่งผิดเลย
จนกระทั่งสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ 2 ของอังกฤษขอไปชมระบบการจัดการการส่งปิ่นโตนี้ด้วย
สำหรับท่านที่ยังไม่เคยชมภาพยนต์เรื่อง THE LUNCH BOX ขอแนะนำให้ชมครับ แต่อาจจะหาชมยากแล้ว
หลังจากนั้น ภาพยนต์อินเดียเรื่องต่อมาที่ผมได้ชมก็คือ GANGUBAI KATIAWADI เพราะกระแสที่รุนแรงในโซเชียล เมื่อได้ชมแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ตามที่ได้เล่าข้างต้น
แต่ที่น่าสนใจก็คือที่มีผู้แสดงความคิดเห็นกันมากว่า ทำไม กังกุไบ จึงต้องรินน้ำชาลงไปในจานรองถ้วยก่อนที่จะดื่มจากจานนี้
บางท่านบอกว่า เพราะเป็นการแสดงความต่ำกว่าทางชนชั้นของชาวอินเดียต่อชาวอังกฤษ หรือ บอกว่า เพราะชาวอังกฤษไม่อนุญาตให้ชาวอินเดียดื่มน้ำชาจากถ้วย จึงต้องดื่มจากจานรอง
ผมพยายามสืบค้นมาจนได้ข้อมูลว่า

(รัฐกุจราฐ(ลูกศรชี้ซ้ายมือ) และ รัฐมหาราษฎระ(ลูกศรชี้ขวามือ))
ตามท้องเรื่องกังกุไบ เป็นชาวรัฐกุจราฐ(GUJRAT) จากเมืองกาฐิยาวารตามชื่อของภาพยนต์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ในช่วงเวลาของกังกุไบนั้น รัฐกุจราฐ เป็นรัฐเดียวกันกับรัฐมหาราษฎระ (MAHARASHTRA) มีชื่อว่า รัฐบอมเบย์(BOMBAY STATE)
ทั้งสองรัฐเพิ่งจะแยกตัวออกเป็นอิสระเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปีค.ศ. 1960
ดังนั้น วัฒนธรรมของทั้งสองรัฐจึงมีความใกล้ชิดกันมาก และ ถ่ายทอดไปมาสู่กันเสมอ
วัฒนธรรมการดื่มน้ำชาจากจานรองเป็นวัฒนธรรมของรัฐกุจราฐ ในขณะที่ซ่องโสเภณีของกังกุไบ อยู่ที่เมืองบอมเบย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฎระ การดื่มน้ำชาจากจานรองจึงไปปรากฎในเมืองมุมไบตามที่แสดงในภาพยนต์
ทุกวันนี้ วัฒนธรรมการดื่มน้ำชาจากจานรองยังเป็นประเพณีปฎิบัติกันอยู่ และ เป็นเรื่องปกติของชาวกุจราฐ
เพื่อนชาวอินเดียของผมที่อาศัยอยู่ในเมืองกอลกัตตา รัฐเบงกอลตะวันตก ที่อยู่ในภาคตะวันออกของอินเดีย เล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่เขาไปธุระที่รัฐกุจราฐ เพื่อนของเขาที่นั่นนำชาร้อนในถ้วยบนจานรองมาเสริฟให้เขา
แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมการดื่มน้ำชาที่แตกต่างกันของชาวเบงกอลตะวันตก กับชาวกุจราฐ เพื่อนผมซึ่งคุ้นเคยกับการดื่มชาจากถ้วย จึงวางจานลงแล้วดื่มจากถ้วย
เจ้าภาพตกใจมากรีบวิ่งไปเอาจานใหม่มาให้ในทันที เพราะคิดว่า จานรองที่มากับถ้วยนั้นสกปรก และ ระล่ำระลักขอโทษไม่ขาดปากโทษฐานที่เอาจานสกปรกมาเสริฟให้แขกผู้มาเยือน
เพื่อนผมต้องรีบขอโทษคืน และ อธิบายว่า จานที่เขาให้มานั้นสะอาดสะอ้านดี แต่ที่เขาดื่มจากถ้วยโดยตรงก็เพราะว่า เขาคุ้นเคยกับการดื่มวิธีนี้มากกว่า เนื่องจากเป็นวัฒนธรรมของชาวเบงกอลตะวันตก
การดื่มน้ำชาร้อนจากจานรองของชาวอินเดียนั้น เป็นเพราะเขาต้องการให้ความร้อนของชามีพื้นที่ในการระบายความร้อนมากขึ้น จะได้ไม่ลวกปากเวลาดื่ม
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแสดงความต่ำต้อยทางสังคม หรือ ความต่ำต้อยทางชนชั้นต่อผู้นำน้ำชามาเสริฟแต่อย่างใด
พบ “หนังอินเดียที่ผมรัก” ตอน 2 ในสัปดาห์หน้าครับ