ซอกซอนตะลอนไป (24 กรกฎาคม 2558 )
ว่าด้วย ภูมิ-เศรษฐศาสตร์ ของ กรีซ(ตอน 5)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
สัปดาห์นี้ เป็นตอนที่ 104 ครบรอบ 2 ปีพอดีของคอลัมน์ “ซอกซอนตะลอนไป” ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะครับ หากต้องการให้ผมเขียนเรื่องอะไร ก็บอกมาได้นะครับ
สาเหตุที่นำประเทศกรีซไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจตามที่ผมได้พูดไปในตอนก่อนหน้านี้ก็คือ การทุ่มเทในการซื้ออาวุธเพื่อมาต่อกรกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างตุรกี และ ความพยายามที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค และได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในที่สุด
ซึ่งเปรียบเสมือนคนป่วยหนักที่รอวันฝีหนองในตัวระเบิดขึ้นมาเท่านั้นเอง
ก้าวที่นำกรีกเข้าสู่หุบเหวแห่งหายนะอย่างแท้จริงก็คือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรโซน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าร่วมเป็นชาติหนึ่งที่ใช้เงินสกุลยูโร ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีค.ศ. 1999 หรือ ปีพ.ศ. 2542
เพราะการที่กรีซเข้าร่วมในการใช้เงินตราสกุลยูโร มันเหมือนกับเอาทีมฟุตบอลระดับ อบต. หรือ ฟุตบอลโรงเรียนประจำจังหวัด ไปร่วมแข่งขันกับทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ และเล่นเกมส์ในกติกาที่พรีเมียร์ลีกกำหนด มันไม่มีทางที่จะต่อกรกันได้เลย
นอกจากนี้ ด้วยสภาพของภูมิศาสตร์ที่กำหนดนิสัยใจคอของประชากร ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในภาคใต้มักจะไม่ค่อยตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่นัก ประเภทถ้าฉวยโอกาสโกงได้ ก็จะโกง

(จริยธรรมที่สูงส่งของชาวกรีกโบราณ ไม่เหลือเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงลูกหลานชาวกรีกในวันนี้เลย)
ชาวกรีก ก็เช่นเดียวกัน
อาจารย์สมชาย ภัคภาสน์วิวัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้คร่ำหวอดในวงการ ได้เขียนเอาไว้ว่า ถ้าพิจารณาคุณสมบัติตามความเป็นจริง ประเทศกรีซ จะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปได้เลย
กฎข้อหนึ่งของการเข้าเป็นสมาชิกยูโรโซนก็คือ ประเทศนั้นๆจะต้องขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 3 % ของ GDP และมีหนี้สาธารณะไม่เกิน 60 % ของ GDP แต่ประเทศกรีซก่อนเข้าร่วมยูโรโซน ขาดดุลงบประมาณที่ 4.5 % และ กรีซมีหนี้สาธารณะเกิน 100 % ของ GDP เข้าไปแล้ว
ประเทศกรีซเล่นกลด้วยการเปลี่ยนตัวเลขขาดดุลงบประมาณ ลงมาเหลือแค่ 2.5 % และ แก้ตัวเลขหนี้สาธารณะของประเทศมาเป็น ไม่ถึง 60 % ของ GDP
ผมไม่แน่ใจว่า การเล่นขี้โกงแบบนี้ จะเกิดขึ้นกับประเทศในภาคใต้ของยุโรปประเทศอื่นๆ เช่น อิตาลี สเปน โปรตุเกส ด้วยหรือไม่
ต้องเรียกว่า เป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลของกรีซในยุคนั้นหวังจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของสหภาพยุโรปเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศตัวเอง เพราะข้อเท็จจริงก็คือ กรีซคือคนพิการที่หลอกคนว่ายังวิ่งแข่ง 100 เมตรได้เท่านั้น
ผลร้ายที่กระทบต่อชาวกรีซปรากฏให้เห็นทันทีเมื่อมีการประกาศใช้เงินสกุลยูโรแทนที่เงินตราสกุลท้องถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1999

(เงินสกุลดรั๊กมา ของกรีซ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ยูโร)
บังเอิญผมมีโอกาเดินทางไปในหลายประเทศทางใต้ของยุโรป เช่น สเปน กรีซ อิตาลี ทั้งก่อนหน้า และ หลังจากประกาศใช้เงินยูโรแล้ว
สิ่งที่ได้รับการบอกเล่าจากไกด์ท้องถิ่นเหมือนกันก็คือ ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ยกตัวอย่างเช่น ราคาของมะเขือเทศ ซึ่งคนทางภาคใต้ของยุโรปใช้ในการปรุงอาหารมากนั้น มีราคาสูงขึ้น 3 เท่าตัว
ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่า รู้ได้อย่างไรว่า ราคามะเขือเทศเป็นยูโรสูงขึ้นกว่าราคามะเขือเทศเป็นสกุลท้องถิ่น เช่น ดรั๊กมา ของกรีซ , เปเซตา ของสเปน หรือ ลีร์ ของอิตาลี
ขอเล่าให้ฟังว่า ในตอนที่แต่ละประเทศจะเริ่มเอาเงินยูโรเข้ามาใช้ในตลาด รัฐบาลจะต้องเก็บเงินสกุลท้องถิ่นออกไปจากตลาดให้หมด วิธีการเก็บก็คือ การให้ประชาชนนำเงินท้องถิ่นมาแลกกับเงินสกุลยูโรที่ธนาคาร
การแลกเงินดังกล่าว รัฐบาลของแต่ละประเทศต้องกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินท้องถิ่น กับเงินยูโรว่า อยู่ที่อัตราเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนชาวกรีก หรือ ประเทศอื่นๆของยุโรป ก็จะรู้ว่า เงิน 1 ยูโรเทียบเท่ากับกี่ดรั๊กมา หรือ กี่เปเซต้า สมมติว่า เงิน 3 ดรั๊กมา สามารถแลกได้ 1 ยูโร
หาก 1 ดรั๊กมาสามารถซื้อมะเขือเทศได้ 1 กิโลกรัม แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นเงินสกุลยูโร ปรากฏว่า มะเขือเทศ 1 กิโลกรัมราคา 1 ยูโร ชาวกรีกก็จะเห็นว่า ราคาของแพงขึ้นอย่างเห็นๆถึง 3 เท่าตัว
ประเทศที่สบายที่สุดก็เห็นจะเป็น เยอรมัน และ ฝรั่งเศส ที่ค่าเงินเข้มแข็งกว่าประเทศในภาคใต้ของยุโรป
แค่เริ่มเข้าแท่นสตาร์ทก็เห็นแล้วว่า ใครได้เปรียบกว่ากัน

(ลูกหลานของชาวกรีซในวันก่อนที่โกหกทุกอย่าง เพื่อให้ได้เข้าร่วมกลุ่มสหภาพยุโรป โดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือบันไดไปสู่หายนะ) (ภาพจากสำนักข่าวเอเอฟพี)
กรีซ และ ประเทศในภาคใต้ของยุโรปพลาดอย่างหนักที่เข้าไปเล่นเกมส์ที่ประเทศยุโรปเหนือกำหนดให้เล่น ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีศักยภาพในการต่อสู้ หรือแข่งขันเลย ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น

(แม้แต่เทพี อเธน่า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ก็ไม่อาจช่วยอะไรชาวกรีกได้เลย)
แล้วกรีซจะฟื้นตัวได้หรือไม่ พบกับสัปดาห์หน้าครับ